หมวดหมู่: อาหารไทย

ลาบปลาดุกย่าง

ลาบปลาดุกย่างสูตรเด็ด อาหารอีสานรสแซ่บ ทำง่ายได้ที่บ้านลาบปลาดุกย่างสูตรเด็ด อาหารอีสานรสแซ่บ ทำง่ายได้ที่บ้าน

ลาบปลาดุกย่างสูตรเด็ด อาหารอีสานรสแซ่บ ทำง่ายได้ที่บ้าน
ลาบปลาดุกย่าง

    ใครที่กำลังเบื่อเมนูปลาแบบเดิม ๆ ในบทความนี้เรามีอาหารอีสานรสแซ่บมาแนะนำให้ได้รู้จัก เป็นเมนูที่เชื่อว่าหลายคนยังไม่รู้จัก และยังไม่เคยรับประทานกันมาก่อน เมนูนี้ชื่อว่า “ลาบปลาดุกย่าง” อาหารอีสานที่เปลี่ยนลาบแบบเดิม ๆ มาใช้ปลาดุกย่างหอม ๆ ปรุงรสเพิ่มเติมเสริมความแซ่บแบบนัว ๆ ตามสไตล์อาหารอีสาน แต่ก่อนที่จะไปดูสูตรวิธีการทำ เราจะพาทุกคนไปรู้จักเมนูนี้ให้มากขึ้นกันค่ะ

| ทำความรู้จักลาบปลาดุกย่าง เมนูแซ่บซี๊ด 
ลาบปลาดุกย่าง

     ลาบ อาหารอีสานขึ้นชื่อ ที่เรียกว่าขาดไม่ได้เลย เมื่อมีโอกาสไปทาน อาหารอีสาน แล้วเป็นต้องสั่งมาทานพร้อมกับส้มตำรสแซ่บ และข้าวเหนียวร้อน ๆ ซึ่ง ลาบปลาดุกย่าง ก็เป็นอีกหนึ่งเมนูลาบที่ถูกรังสรรค์มาอย่างน่ารับประทาน แต่น่าเสียดายที่ยังไม่เป็นที่รู้จักเท่าที่ควร เราจึงได้นำข้อมูลเกี่ยวกับเมนูนี้มาแชร์ความรู้ก่อนจะไปลองรับประทานกันค่ะ

ประวัติความเป็นมา

    สำหรับประวัติความเป็นมาของ ลาบปลาดุกย่าง นั้น เป็นเมนูที่ประยุกต์มาจาก ลาบของชาวอีสาน  หนึ่งใน อาหารอีสานบ้าน ๆ ที่ทำรับประทานกันแทบทุกครัวเรือน ซึ่งต้นกำเนิดของลาบนั้นได้รับอิทธิพลมาจากเวียงจันทน์ ส่งต่อความแซ่บกันมาแบบรุ่นสู่รุ่น พร้อมกับการปรับเปลี่ยนสูตรให้เข้ากับยุคสมัยปัจจุบัน จนกลายเป็นเมนูใหม่มากมายให้เราได้รับประทานกัน นอกจากเมนูหลักของเราแล้วยังมี ลาบหมูทอด , ลาบเป็ดกรอบสมุนไพร , ลาบปลากะพง ฯลฯ เมนูคลาสสิกที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคงหนีไม่พ้นลาบหมูนั้นเอง

เนื้อสัมผัส และรสชาติของอาหารอีสานเมนูนี้

    หากใครยังไม่เคยรับประทาน ลาบปลาดุกย่าง มาก่อน เราต้องขอบอกเลยว่า อาหารอีสานรสแซ่บ เมนูนี้แซ่บสมคำร่ำรือจริง ๆ ด้วยความที่ใช้เนื้อปลาดุก ปลาน้ำจืดที่หาได้ง่ายตาท้องถิ่น นำมาย่างแล้วสับละเอียด รสชาติหวานมัน เนื้อนุ่ม มาคลุกเคล้าให้เข้ากันกับเครื่องปรุงอย่างครบรส ทั้งเผ็ด เปรี้ยว หวาน เค็ม ผสานกับกลิ่นหอมของเครื่องเทศสมุนไพรที่หาได้ง่าย รับประทานพร้อมกับผักสดพื้นบ้าน และข้าวเหนียวร้อน ๆ ได้ความอร่อยสมเป็น เมนูยอดนิยม สุด ๆ แนะนำให้ลองทานกันให้ได้นะคะ 

ลาบปลาดุกย่าง
ประโยชน์ของปลาดุก ปลาที่ควรค่าแก่การรับประทาน

    แน่นอนว่าวัตถุดิบหลักในการทำ ลาบปลาดุกย่าง ก็คือ เนื้อปลาดุกที่อุดมไปด้วย สารอาหารที่มีประโยชน์ ต่อสุขภาพ มีโปรตีนในปริมาณที่สูงมาก ในเนื้อปลา 100 กรัม มีโปรตีนสูงถึง 23.0 กรัม ช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อ ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และยังมีวิตามินบี 12 , โอเมก้า 6 กรดไขมันไม่อิ่มตัวที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ และช่วยลดคอเลสเทอรอลในเลือด มีปริมาณแคลอรี ไขมัน และธาตุปรอทต่ำ จึงเป็นอีกหนึ่งใน อาหารที่มีประโยชน์ แถมรสชาติเผ็ด เปรี้ยว เค็ม ยังช่วยให้เจริญอาหาร ช่วยย่อย และช่วยขับลม 

สรรพคุณทางยาที่น่าสนใจ

     นอกจากเนื้อปลาดุกจะมีประโยชน์แล้ว ส่วนผสมลาบปลาดุก อื่น ๆ ยังเป็นเครื่องเทศสมุนไพรที่มีสรรพคุณทางยา ยกตัวอย่างเช่น ข่า มีรสเผ็ดร้อน ช่วยขับลม บรรเทาอาการอาหารไม่ย่อย บรรเทาอาการปวด ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็ง , หอมแดง มีรสเผ็ดร้อน ช่วยให้เจริญอาหาร บำรุงโลหิต หัวใจ ต่อต้านอนุมูลอิสระ , ใบสะระแหน่ รสหอมร้อน ช่วยขับเหงื่อ แก้ปวดท้อง ขับลม แก้จุกเสียดแน่นเฟ้อ , มะนาว รสเปรี้ยว แก้เสมหะ แก้ไอ แก้เลือดออกในไรฟัน และช่วยฟอกโลหิต ฯลฯ ที่เรากล่าวไปข้างต้นนี้เป็นเพียงการยกตัวอย่างสรรพคุณเพียงบางส่วนเท่านั้น เนื่องจาก ลาบปลาดุกย่าง ยังมีส่วนผสมอื่น ๆ ที่มีประโยชน์อยู่มาก 

ลาบปลาดุกมีมากมายหลากหลายสูตร

     เมื่อมีโอกาสได้ลองทาน ลาบปลาดุกย่าง ในหลาย ๆ ร้าน จะเห็นได้ว่าในแต่ละร้านมี สูตรลาบปลาดุกย่าง ที่แตกต่างกัน เพราะเป็นเมนูยอดนิยมจึงมีการปรับเปลี่ยนสูตรขึ้นมาอย่างมากมาย ให้ถูกปากคนทำ และคนที่รับประทาน เช่น ลาบปลาดุกสูตรโบราณ ที่มีการนำมันหมูเจียวให้หอมจนกลายเป็นกากหมู ก่อนนำมาผัดคลุกเคล้ากับเนื้อปลาดุกย่างที่สุกแล้วก่อนนำมาใส่เครื่องเทศสมุนไพร และปรุงรส แตกต่างจากสูตรในปัจจุบันที่ใช้เวลาในการทำน้อยกว่า และไม่ต้องใช้ความพิถีพิถันเท่าในอดีต

| วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำลาบปลาดุกย่าง
ลาบปลาดุกย่าง

    หลังจากได้รู้ข้อมูลเกี่ยวกับ อาหารอีสานแซ่บ ๆ เมนูนี้กันมาพอสมควรแล้ว เราจะมาต่อกันด้วยการ สอนทำลาบปลาดุก ง่าย ๆ สูตรเครื่องแน่น รสแซ่บถึงใจ ที่ทุกคนสามารถทำรับประทานเองได้ที่บ้าน โดยใช้เวลาในการทำไม่นาน และไม่ต้องเสียเวลาไปตามหาวัตถุดิบ เนื่องจากวัตถุดิบในการทำ ลาบปลาดุกย่าง นั้นสามารถหาได้ง่ายทั่วไปเลยค่ะ ไม่ว่าจะอยากทานตอนไหน หรือเวลาใดก็สามารถทำรับประทานเองได้ในทันที

วัตถุดิบ
  1. ปลาดุกสด 800 กรัม
  2. เกลือป่น ½ ช้อนตวง
  3. พริกป่น 2 ช้อนโต๊ะ
  4. ข้าวคั่ว 1 ช้อนโต๊ะ
  5. น้ำปลา 4 ช้อนโต๊ะ
  6. น้ำมะนาว 1 – 2 ลูก
  7. ผงชูรส 1/2 ช้อนชา
  8. พริกซอย 5 เม็ด
  9. ต้นหอมซอย 4 ต้น
  10. ผักชีฝรั่งซอย 4 ต้น
  11. หอมแดงซอย 4 หัว
  12. ตะไคร้ซอย 2 ต้น
  13. ข่าอ่อนซอย 1 หัว 
  14. ใบมะกรูดซอย 5 ใบ
  15. ใบสะระแหน่ 2 ช้อนโต๊ะ
  16. ผักเครื่องเคียงตามชอบ
ลาบปลาดุกย่าง
ขั้นตอนวิธีการทำ
  1. ขั้นตอนแรกนำปลาดุกมาล้างน้ำให้สะอาด ใส่เกลือป่นลงไปให้ทั่วตัวปลา นำไปย่างไฟให้สุกหอมทั่วทั้งตัว ต่อด้วยการนำมาแกะเนื้อปลาออกจากก้าง และสับให้ละเอียด
  2. เตรียมถ้วยสำหรับปรุงอาหาร ใส่น้ำปลา พริกป่น ผงปรุงรส และคนให้เข้ากันแล้วใส่เนื้อปลาดุกย่างลงไปคนให้เข้ากันอีกครั้ง ตามด้วยข้าวคั่ว ตะไคร้ ข่าอ่อน ใบมะกรูด หอมแดง พริกซอย น้ำมะนาว ผักชีฝรั่ง ใบสะระแหน่ และต้นหอม คนอีกครั้งให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากัน เสร็จแล้วจัดใส่จานเสิร์ฟได้เลย
บทสรุป

      ลาบปลาดุกย่าง เมนูลาบที่มีเอกลักษณ์คือเป็น อาหารอีสานรสชาติแซ่บ ครบรส พร้อมกลิ่นหอมของข้าวคั่ว ที่ไม่ได้มีดีเพียงแค่กลิ่นเท่านั้น เพราะการใส่ข้าวคั่วลงไปในอาหารจะช่วยลดกลิ่นคาว และความมันของปลาดุกได้เป็นอย่างดี จึงไม่ต้องกังวลเลยว่าจะมีปัญหาความคาวของเนื้อปลาโชยมาในระหว่างรับประทาน หากใครอยากลองรับประทานก็สามารถนำ สูตรอาหาร นี้ไปลองทำตามกันได้ง่าย ๆ เพียงสองขั้นตอนเท่านั้น 

ประวัติความเป็นมา

READ MOREREAD MORE
น้ำพริกหนุ่ม

น้ำพริกหนุ่ม อาหารพื้นบ้านขึ้นชื่อของทางภาคเหนือ น้ำพริกหนุ่ม อาหารพื้นบ้านขึ้นชื่อของทางภาคเหนือ 

น้ำพริกหนุ่ม อาหารพื้นบ้านขึ้นชื่อของทางภาคเหนือ 
น้ำพริกหนุ่ม

    หนึ่งในเมนูขึ้นชื่อของเมืองล้านนาทางภาคเหนือของไทย คือ น้ำพริกหนุ่ม อาหารพื้นบ้านที่ไม่มีใครไม่รู้จัก เป็นน้ำพริกที่มีส่วนผสมแตกต่างจากน้ำพริกของภาคอื่น โดยใช้พริกหนุ่ม หรือพริกมันเป็นส่วนผสมหลัก ผสมผสานกับส่วนผสมอื่น ๆ เพิ่มรสชาติ โดยสามารถปรุงได้หลายรูปแบบตามความชอบของแต่ละคน บางสูตรมีการใส่ปลาร้า หรือกะปิลงไปด้วยเพื่อเพิ่มเติมเสริมความอร่อย และในบทความนี้เราก็มีข้อมูล และสูตรวิธีการทำมาให้ทุกคนได้รู้จักอาหารเหนือเมนูนี้กันมากขึ้น 

| ทำความรู้จักน้ำพริกหนุ่ม อาหารไทยล้านนา
น้ำพริกหนุ่ม

     ในอดีตนั้นทางภาคเหนือเคยเป็นอาณาจักรล้านนาที่เจริญรุ่งเรืองมาก่อน โดยเป็นอาณาจักรที่มีคนหลากหลายเชื้อชาติอาศัยอยู่ จึงมีการผสมผสานวัฒนธรรมที่หลากหลาย รวมถึง วัฒนธรรมด้านอาหารด้วย ถือเป็นภาคที่มีอาหารเป็นเอกลักษณ์ด้านรสชาติ คือ มีรสอ่อน เผ็ด เค็ม เปรี้ยว แต่ไม่หวาน เนื่องจาก อาหารพื้นบ้านล้านนา ส่วนใหญ่จะไม่นิยมใส่น้ำตาล จะแทนที่ด้วยความหวานจากผัก และปลา ดังนั้น น้ำพริกหนุ่ม ก็เป็นอีกหนึ่งเมนูที่แสดงเอกลักษณ์ของอาหารภาคเหนือออกมาได้เป็นอย่างดี

ประวัติความเป็นมา

    หากจะถามถึงประวัติความเป็นมาของ น้ำพริกหนุ่ม ซึ่งเป็นอาหารพื้นบ้านภาคเหนือที่รู้จักกันมาอย่างยาวนานหลายยุคหลายสมัย แต่กลับไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัดว่าแท้จริงแล้วเกิดขึ้นในยุคใด และใครเป็นผู้คิดค้น แต่แน่นอนว่าเป็น อาหารล้านนา ในสมัยก่อนที่มีการจัดอาหารใส่สำรับอาหาร ประกอบด้วยข้าวเหนียวเป็นอาหารหลัก อาหารเหนือมากมาย เช่น แกง แหนม ไส้อั่ว ผักพื้นบ้าน รวมถึงน้ำพริก ซึ่งล้วนเป็นอาหารที่อร่อยเข้ากันเป็นอย่างดี

เนื้อสัมผัส และรสชาติของอาหารเหนือเมนูนี้

    น้ำพริกหนุ่ม มีเนื้อสัมผัสที่นุ่ม ชุ่มฉ่ำ แต่ลักษณะนั้นค่อนข้างหยาบ จนสามารถมองเห็นเนื้อพริกสีเขียว และเมล็ดพริกกระจายอยู่ได้อย่างชัดเจน รสชาติของ น้ำพริกภาคเหนือ มีรสเค็มนำ ตามด้วยรสเผ็ดปานกลางไปจนถึงเผ็ดมาก ระหว่างรับประทานจะได้กลิ่นหอมของวัตถุดิบที่ถูกย่างไฟก่อนนำมาประกอบอาหาร เมื่อทาน น้ำพริกหนุ่มล้านนา คู่กับข้าวเหนียว แคบหมู ผักสด หรือผักลวก จะได้รสชาติที่กลมกล่อมมากขึ้น 

น้ำพริกหนุ่ม
ประโยชน์ของน้ำพริกเพื่อสุขภาพ

    จากผลประกาศของกระทรวงสาธารณะสุข การรับประทาน น้ำพริกหนุ่ม ที่มีส่วนประกอบของ ANTIOXIDANTS และ ANTI – AGING ช่วยลดการเกิดโรคได้หลายโรค เช่น โรคมะเร็ง , โรคหัวใจ , โรคทางสมอง , โรคเบาหวาน ฯลฯ แถมยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการรักษาสุขภาพ เมื่อรับประทาน น้ำพริกล้านนา อีกทั้งการรับประทาน อาหารพื้นเมืองภาคเหนือ เมนูนี้คู่กับข้าว และผักนา ๆ ชนิด เส้นใยจากผักมีวิตามินมากมายที่ดีต่อสุขภาพ เส้นใยจากผักช่วยระบบย่อยอาหาร แต่ต้องเป็นผักที่สะอาดไม่มีสารเจือปนนะคะ

สรรพคุณทางยาที่น่าสนใจ

     ต้องบอกเลยว่านอกจาก น้ำพริกหนุ่ม จะเป็น อาหารที่มีประโยชน์ แล้วยังเป็นอาหารที่ใช้วัตถุดิบที่มี สรรพคุณทางยา อีกด้วย คือ พริกหนุ่มที่มีรสเผ็ด ช่วยให้เจริญอาหาร ช่วยย่อย และขับลม , กระเทียมมีรสเผ็ดร้อน ช่วยขับลม ขับเสมหะ แก้ไอ ลดไขมันในหลอดเลือด ยับยั้งการเกิดเชื้อรา , หอมแดงมีรสเผ็ดร้อน แก้ไข้ แก้หวัด บำรุงธาตุ , ผักชี ช่วยละลายเสมหะ ขับเหงื่อ ขับลม แก้หัด แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ทั้งยังช่วยให้เจริญอาหาร ทานแล้วดีต่อสุขภาพอย่างแน่นอน

อาหารตัวแทนของชาวเชียงใหม่

     ไม่ว่าใครที่มีโอกาสได้ไปท่องเที่ยวทางภาคเหนือของไทย โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ ต้องไม่พลาดที่จะรับประทาน อาหารเหนือยอดนิยม อย่าง น้ำพริกหนุ่ม ที่หาทานได้ง่าย ทั้งในภาคเหนือ ห้างสรรพสินค้าทั่วประเทศ และยังมีการส่งออกให้ชาวต่างชาติได้ชิมด้วย ซึ่งในแต่ละปีมียอดขายปีละหลายล้านบาท เรียกได้ว่าเป็นตัวแทนของชาวเชียงใหม่เลยก็ไม่ผิด เพราะนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศต่างถูกอกถูกใจ ซื้อกลับไปเป็นของฝากกันอย่างล้นหลาม เนื่องจาก น้ำพริกหนุ่มดั้งเดิม สูตรของชาวเชียงใหม่แท้ ๆ นั้นอร่อยลำแต้แต้เจ้า 

| วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำน้ำพริกหนุ่ม
น้ำพริกหนุ่ม

    สำหรับใครที่ยังไม่มีโอกาสได้ไปเที่ยวภาคเหนือ หรือเคยไปแล้วติดใจเมนูอาหารเหนือจนอยากรับประทานอีกสักครั้ง ในบทความนี้เราก็ได้หยิบยก สูตรน้ำพริกหนุ่ม พร้อมวิธีทำ น้ำพริกหนุ่มง่าย ๆ มาแชร์ให้ทุกคนได้ลองทำรับประทานกันที่บ้าน โดยวัตถุดิบในการทำนั้นมีเพียงไม่กี่อย่าง และสามารถหาได้ง่ายทั่วไป แต่รสชาติที่ได้กลับมารับรองได้เลยว่าอร่อยสมคำร่ำลือ เหมือนคนเหนือทำเองแน่นอน หากใครอยากทานกันแล้วเราไปดูวัตถุดิบ และขั้นตอนการทำ น้ำพริกหนุ่ม กันเลย

วัตถุดิบ
  1. พริกหนุ่ม 15 เม็ด 
  2. หอมแดง 10 หัว
  3. กระเทียม 10 กลีบ
  4. เกลือ 1 ช้อนชา
  5. ผักชีซอยสำหรับแต่งหน้าตามชอบ
  6. ผักเครื่องเคียง และแคบหมู
น้ำพริกหนุ่ม
ขั้นตอนวิธีการทำ
  1. ขั้นตอนแรกนำพริกหนุ่มมาตัดขั้วออก ก่อนจะนำไปย่างไฟให้หอมจนเปลือกพองไหม้ ตามด้วยการย่างหอมแดง และกระเทียมต่อให้ไหม้เช่นเดียวกัน เสร็จแล้วนำมาปอกเปลือกที่ไหม้ออก
  2. ใส่ส่วนผสมที่เตรียมไว้ในขั้นตอนแรก และเกลือลงไปในครก โขลกให้เนื้อพอหยาบ ตักใส่จานจัด โรยหน้าด้วยผักชี เสิร์ฟพร้อมผักเครื่องเคียง แคบหมู และข้าวสวยร้อน ๆ ได้เลย
เคล็ดลับเพิ่มความอร่อย

     เคล็ดลับ ง่าย ๆ ในการทำน้ำพริกให้อร่อย สิ่งสำคัญอยู่ที่การเลือกพริกหนุ่ม ต้องเลือกที่ไม่แก่จัด มีทั้งสีเขียวเข้มอ่อนผสมกัน เพื่อให้น้ำพริกมีสีสวยงามน่ารับประทาน หากใครอยากทานรสชาติที่อร่อยแตกต่างก็สามารถเพิ่มปลาร้าสับ หรือกะปิลงไปเพิ่มรสชาติ อาหารประจำภาคเหนือ เมนูนี้ได้ และหากใครอยากได้ความหวานก็สามารถใส่มะเขือยาวเผาเพิ่มรส หรือหากใครยังไม่ถูกใจก็สามารถเติมผงปรุงรสเพิ่มได้ สูตรนั้นไม่ตายตัวจึงสามารถดัดแปลงได้ตามความชอบเลย

บทสรุป

     เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับ อาหารเหนือง่าย ๆ ที่มีชื่อว่า น้ำพริกหนุ่ม ง่ายกว่าที่คิดไว้ใช่ไหมคะ เชื่อว่าบทความนี้คงทำให้ทุกคนได้รู้จักกับ อาหารขึ้นชื่อภาคเหนือ กันมากขึ้น ทั้งประวัติความเป็นมาที่ยังไม่แน่ชัด และน่าค้นหา คุณประโยชน์ของอาหาร และสรรพคุณทางยาที่จะได้รับเมื่อรับประทาน เรียกว่าอร่อยแล้วยังดีต่อสุขภาพ อย่าลืมลองนำสูตรนี้ไปลองทำตามกันให้ได้นะคะ หรือหากใครอยากทำขายสร้างอาชีพก็สามารถทำได้ เพราะมีหลายคนที่มีรายได้เพิ่มขึ้น และรวยเพราะเมนูนี้กันมาแล้ว 

ประวัติความเป็นมา

READ MOREREAD MORE
เมนูอาหารไทย

หมูโสร่ง เมนูอาหารไทยโบราณ ตามรอยละครดังหมูโสร่ง เมนูอาหารไทยโบราณ ตามรอยละครดัง

หมูโสร่ง เมนูอาหารไทยโบราณ ตามรอยละครดัง
เมนูอาหารไทย

    หลังจากที่พาไปทำ เมนูอาหารไทย ที่เป็นอาหารหลักกันมาหลากหลายเมนูแล้ว ในวันนี้เราจึงจะพาทุกคนไปทำอาหารว่างแบบโบราณกันบ้าง ซึ่งเป็นเมนูที่คอละครรู้จักกันเป็นอย่างดี เมนูนี้มีชื่อว่า “หมูโสร่ง” เมนูฮิตจากละครสุดฮอตเรื่องบุพเพสันนิวาสที่สองพระนางแม่การะเกด และคุณพี่หมื่น ทำเอาคนไทยทุกเพศทุกวัยต้องติดจอรอชมกันเลยทีเดียว และเมื่อเมนูนี้ถูกหยิบยกไปทำเป็นเมนูมัดใจพี่หมื่นในละคร ทำให้หลาย ๆ คนได้รู้จักกับอาหารโบราณที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน และอยากลองรับประทานกันดูสักครั้ง ว่าจะอร่อยสมคำร่ำลือจริง ๆ หรือไม่ 

| วัตถุดิบในการทำหมูโสร่ง เมนูอาหารไทยโบราณ
เมนูอาหารไทย

     หมูโสร่ง มีรูปร่างที่แปลกตากว่า อาหารไทยโบราณ ทั่วไป รูปร่างหน้าตานั้นเป็นทรงกลมคล้ายคลึงกับลูกตะกร้อ มีประวัติความเป็นมาจากจดหมายความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวีว่า เมนูอาหารไทย เมนูนี้เข้ามาในไทยตั้งแต่ตอนที่มีการค้าของ โดยเรือจากโปรตุเกส และจีน มีวัตถุดิบหลักสองอย่าง คือหมูสับ เส้นหมี่ซั่ว จนเวลาต่อมาก็ได้ถูกพัฒนาปรับปรุงสูตรให้ถูกปากคนไทยมากขึ้น โดยการใช้วัตถุดิบที่หลากหลาย ซึ่งสูตรของเราในวันนี้ก็ขอแยกวัตถุดิบออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนของหมูโสร่ง และส่วนของน้ำจิ้มที่ใช้รับประทานคู่กัน

วัตถุดิบในการทำหมูโสร่ง
  1. หมูบดติดมัน 350 กรัม
  2. ไข่ไก่ 1 ฟอง
  3. น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
  4. สามเกลอโขลกละเอียด (รากผักชี กระเทียม พริกไทย) 1 ช้อนโต๊ะ
  5. เส้นหมี่ซั่ว แช่น้ำ 200 กรัม
  6. น้ำมันพืชสำหรับทอด
วัตถุดิบในการทำน้ำจิ้ม 
  1. น้ำตาลทราย 1½ ช้อนชา
  2. น้ำมะนาว 4 ช้อนโต๊ะ
  3. เกลือป่น 1 ช้อนชา
  4. กระเทียมสับ 1/2 ถ้วย
  5. พริกขี้หนูสับ 1 ช้อนโต๊ะ
เมนูอาหารไทย
ขั้นตอนวิธีการทำหมูโสร่ง

     ก่อนอื่นต้องขอบอกเลยว่า เมนูอาหารไทย ที่มีชื่อว่า หมูโสร่ง สามารถทำได้ง่ายมาก แต่ต้องอาศัยความพิถีพิถันในการนุ่งโสร่งให้หมูสับ หรือการพันเส้นหมี่ซั่วให้เป็นรูปร่างสวยงาม จึงทำให้ อาหารว่าง เมนูนี้มีราคาที่สูงกว่าอาหารทั่วไป และที่สำคัญยังเป็นอาหารโบราณที่หาทานได้ยากแล้วในปัจจุบัน ใครอยากลองทานต้องลงมือเข้าครัวทำเอง โดยการใช้สูตรง่าย ๆ ดังนี้ 

  1. ขั้นตอนแรกเตรียมน้ำจิ้มสำหรับรับประทานคู่กันแบบง่าย ๆ เริ่มจากการใส่น้ำตาลทราย เกลือ และน้ำมะนาวลงไปคนให้เข้ากันในถ้วย เมื่อน้ำตาลละลายแล้วใส่กระเทียมสับ และพริกขี้หนูสับลงไปคนอีกครั้ง 
  2. ใส่หมูสับติดมัน สามเกลอโขลก น้ำปลา และไข่ไก่ลงไปในชามผสม ต่อด้วยการนวดให้ส่วนผสมเข้ากันดีจนเป็นเนื้อเดียวกัน พักไว้ประมาณ 15 นาที
  3. เมื่อพักหมูไว้จนครบเวลาแล้ว ให้ปั้นเป็นก้อนกลมขนาดพอดีคำ จากนั้นนำเส้นหมี่ซั่วมาพันให้รอบ ๆ ให้ปิดเนื้อหมูให้มากที่สุด หากปลายเส้นโผล่ขึ้นมาให้ใช้ไม้ลูกชิ้นกดลงไปให้ปลายเส้นจมลงไปในเนื้อหมู
  4. เมื่อทำการใส่โสร่งให้หมูสับเรียบร้อยแล้ว ตั้งกระทะด้วยไฟอ่อนใส่น้ำมันลงไปแล้วรอจนเดือด และใส่หมูโสร่งที่เตรียมไว้ลงไปทอดพร้อมคนจนกว่าจะเหลืองกรอบ เมื่อสุกได้ที่แล้วให้นำไปพักไว้บนภาชนะที่มีกระดาษซับมัน เสร็จแล้วนำไปจัดใส่จานจัดเสิร์ฟ์พร้อมน้ำจิ้มได้เลยค่ะ

READ MOREREAD MORE
เมนูอาหารไทย

ไข่ลูกเขย เมนูอาหารไทยจากไข่ ทำง่าย และอร่อยไข่ลูกเขย เมนูอาหารไทยจากไข่ ทำง่าย และอร่อย

ไข่ลูกเขย เมนูอาหารไทยจากไข่ ทำง่าย และอร่อย
เมนูอาหารไทย

    เมนูไข่เป็นเมนูง่าย ๆ ที่หลายคนรู้จัก และนิยมรับประทานกันบ่อยครั้ง เพราะไข่เป็นวัตถุดิบที่เรียกว่าต้องมีติดบ้านแทบทุกหลัง สามารถประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู ทั้งไข่เจียว ไข่ดาว ไข่ต้ม ไข่ตุ๋น และในวันนี้เราจะพาทุกคนไปอัพเลเวลการทำอาหารจากไข่ โดยนำ เมนูอาหารไทย ที่มีชื่อว่า “ไข่ลูกเขย” ให้ได้ลองทำตามกันที่บ้าน แต่ก่อนที่จะไปลองทำกัน เราอยากไขข้อสงสัยถึงที่มาของชื่อเมนูนี้ให้ได้เข้าใจกันแบบง่าย ๆ ซึ่งมีที่มาจากไหนนั้น ไปศึกษาหาคำตอบพร้อมกันเลยค่ะ

| วัตถุดิบในการทำไข่ลูกเขย เมนูอาหารไทยชื่อนี้มีที่มา
เมนูอาหารไทย

     ไข่ลูกเขย เมนูอาหารไทย ชื่อนี้มีที่มาที่เล่าต่อกันให้ได้ฟังว่า เป็น อาหารไทยประยุกต์ ที่เหล่าแม่ยายเข้าครัวทำน้ำปลาหวาน ไว้กินกันในหน้าสะเดา เพื่อรับประทานคู่กันพร้อมปลาย่าง แต่ลูกเขยนั้นไม่รับประทาน นั้นนำไข่ต้มไปทอด ปรากฏว่าเข้ากันเป็นอย่างดี เมื่อหมดหน้าสะเดาแล้ว ลูกเขยยังติดใจเมนูนี้อยู่ จึงได้นำมาทำรับประทานอีกครั้ง โดยเพิ่มหอมเจียวโรยไปด้วย และให้แม่ยายชิม ทำให้ครอบครัวนี้รู้ว่าเมนูนี้อร่อยแปลกใหม่ แต่ไม่รู้ว่าจะเรียกชื่อว่าอะไร จึงได้เรียกว่าไข่ลูกเขย ตามชื่อเรียกของผู้คิดค้น ต่อมาก็ได้ถูกประยุกต์ให้เข้ากับยุคสมัยมากยิ่งขึ้น โดยใช้วัตถุดิบ ดังนี้

วัตถุดิบในการทำไข่ลูกเขย
  1. ไข่เป็ด 5 ฟอง
  2. เกลือ 1 ช้อนชา
  3. หอมแดงซอยบางๆ 70 กรัม
  4. พริกขี้หนูแห้ง 10 เม็ด
  5. น้ำตาลมะพร้าว 80 กรัม
  6. น้ำปลาอย่างดี 2 1/2 ช้อนโต๊ะ
  7. น้ำมะขามเปียกข้น 3 ช้อนโต๊ะ
  8. น้ำเปล่า 2 ช้อนโต๊ะ
  9. ใบผักชีตามชอบ
เมนูอาหารไทย
ขั้นตอนวิธีการทำไข่ลูกเขย 

     เมนูอาหารไทย เมนูนี้ยังคงได้รับความนิยมรับประทานกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน โดยส่วนใหญ่จะนิยมซื้อมารับประทานกันเสียมากกว่า เพราะวิธีการทำนั้นเหมือนจะเป็น เมนูไข่ ที่ทำได้ง่าย แต่ก็มีขั้นตอนที่มากมายเล็กน้อย ซึ่งการซื้อ ไข่ลูกเขย มารับประทานก็อาจจะไม่ได้ความอร่อยที่ตอบโจทย์ หากใครอยากรับประทานแบบที่ไข่แดงยังเยิ้มอยู่ ก็สามารถนำวิธีการทำ และเทคนิคของเราไปใช้ประกอบการทำได้เลย

  1. ขั้นตอนแรกตั้งหม้อด้วยไฟกลาง ใส่น้ำพอประมาณ ตามด้วยเกลือเล็กน้อย (เกลือช่วยให้เปลือกไข่ร่อน) รอให้น้ำเดือดเล็กน้อยแล้วนำไข่ลงไปต้ม โดยใช้เวลาประมาณ 6 นาที ในช่วง 2 นาทีแรกให้คนให้เบา ๆ เพื่อให้ไข่แดงสุกตรงกลาง เมื่อครบเวลาแล้วนำไข่ขึ้นมาน็อคน้ำเย็น หลังจากคลายความร้อนแล้วให้ปลอกเปลือกไข่ และใช้ทิชชูซับไข่ให้แห้ง
  2. ตั้งกระทะด้วยไฟกลาง ใส่น้ำมันลงไปในปริมาณครึ่งกระทะ ( หรือในปริมาณที่ท่วมตัวไข่ ) เมื่อน้ำมันร้อนแล้วนำไข่ที่เตรียมไว้ลงไปทอด คนไปเรื่อย ๆ ให้มีสีเหลืองเข้มเท่ากันทั้งฟองอย่างสวยงาม จากนั้นตักขึ้นมาพักไว้บนภาชนะที่รองด้วยกระดาษทิชชู เพื่อซับน้ำมัน
  3. ต่อมาให้เทน้ำมันออกจากกระทะใบเดิม โดยเหลือน้ำมันไว้เล็กน้อย แล้วเปิดเตาด้วยไฟกลาง รอให้น้ำมันร้อน และใส่หอมแดงลงไปเจียว เสร็จแล้วให้นำมาพักไว้ในกระชอนให้สะเด็ดน้ำมัน
  4. ตั้งกระทะด้วยไฟอ่อน ใส่น้ำมันลงไปเล็กน้อย เมื่อร้อนแล้วให้ใส่พริกแห้งลงไปทอดให้มีสีเข้ม และกรอบขึ้น เสร็จแล้วตักออกไปพักไว้บนภาชนะที่มีกระดาษทิชชูรอง
  5. ทำซอสสามรสด้วยการตั้งกระทะด้วยไฟกลาง ใส่น้ำมันหอมเจียวลงไป 1 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลมะพร้าว น้ำปลา น้ำเปล่า และน้ำมะขามเปียก เคี่ยวให้ส่วนผสมละลายเข้ากันดีจนมีเนื้อข้น ปิดเตาพักไว้ให้เย็น
  6. ขั้นตอนสุดท้ายผ่าครึ่งไข่ที่เตรียมไว้ และเรียงใส่ภาชนะให้สวยงาม โรยหน้าด้วยพริกทอด และหอมเจียว ราดน้ำซอสสามรสลงไป และแต่งหน้าด้วยผักชี เป็นอันเสร็จสิ้นพร้อมรับประทานแล้ว

READ MOREREAD MORE
เมนูอาหารไทย

แกงรัญจวน เมนูอาหารไทยโบราณ ชอบทานน้ำพริกกะปิห้ามพลาดแกงรัญจวน เมนูอาหารไทยโบราณ ชอบทานน้ำพริกกะปิห้ามพลาด

แกงรัญจวน เมนูอาหารไทยโบราณ ชอบทานน้ำพริกกะปิห้ามพลาด
เมนูอาหารไทย

  เชื่อว่า เมนูอาหารไทย ที่เรานำมาแนะนำกันในวันนี้ คงเป็นเมนูที่หลายคนนั้นยังไม่เคยรู้จัก และไม่เคยลิ้มลองกันเลยสักครั้ง เพราะ “แกงรัญจวน” เป็นอาหารไทยโบราณที่หาทานได้ยากในปัจจุบัน แต่เป็นแกงแบบชาววังที่ถูกคิดค้นขึ้นมาตั้งแต่ในสมัยรัชกาลที่ 5 และยังได้รับความนิยมอย่างมากในสมัยนั้น โดยต้นกำเนิดนั้นมาจากการที่คนไทยในสมัยก่อน จะไม่ทิ้งของกินที่เหลือ แต่ปัญหาคือไม่ได้มีตู้เย็นสำหรับเก็บอาหารเหมือนอย่างในปัจจุบัน ทำให้ต้องนำเนื้อที่เหลือมาเคี่ยวให้นุ่ม และปรุงรสน้ำแกงด้วยน้ำพริกกะปิที่เหลือ ตามด้วยการใส่สมุนไพรที่หาได้ง่าย เมื่อทำเสร็จจะส่งกลิ่นหอมรัญจวน จนเป็นที่มาของชื่อเรียกเมนูนี้นั้นเอง

| วัตถุดิบในการทำเมนูอาหารไทย แกงรัญจวน
เมนูอาหารไทย

     แกงรัญจวน มีรสชาติเค็ม เปรี้ยว หวาน และกลมกล่อมลงตัว เครื่องแกงมีกลิ่นหอมน่ารับประทานจากสมุนไพรนา ๆ ชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย สำหรับเนื้อสัตว์ที่ใช้ในการทำ เมนูอาหารไทย เมนูนี้ แต่เดิมนั้นจะใช้เป็นเนื้อวัว แต่หากใครไม่รับประทานเนื้อวัวก็สามารถใช้เนื้อสัตว์อื่น ๆ แทนได้ ส่วนวัตถุดิบในการทำ อาหารไทยโบราณ นี้ก็สามารถหาได้ง่าย ดังนี้

วัตถุดิบในการทำแกงรัญจวน
  1. เนื้อซี่โครงหมู หรือวัวหั่นชิ้น 1 ถ้วยตวง
  2. โหระพาเด็ดใบ 1 ต้น
  3. ตะไคร้ซอย 2 – 3 ช้อนโต๊ะ
  4. หอมแดงซอย 6 หัว
  5. ข่าซอย 1 หัว
  6. ใบมะกรูดซอย 5 ใบ
  7. พริกขี้หนูสวนบุบ 8 เม็ด
  8. น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
  9. น้ำพริกกะปิ 1/2 ถ้วยตวง
  10. น้ำเปล่า 1 ½ ถ้วยตวง
  11. เกลือ 2 ช้อนชา
วัตถุดิบในการทำน้ำพริกกะปิ
  1. พริกขี้หนู 15 เม็ด (ปรับเพิ่มลดได้ตามชอบ)
  2. กระเทียมปอกเปลือก 5 กลีบ
  3. กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ
  4. น้ำปลา ½ ช้อนโต๊ะ
  5. น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
  6. น้ำตาลปี๊บ 1½ ช้อนโต๊ะ 
  7. ตะไคร้ซอย 2 ต้น
  8. มะเขือพวง 2 ช้อนโต๊ะ 
เมนูอาหารไทย
ขั้นตอนวิธีการทำแกงรัญจวน 

     เนื่องจาก แกงรัญจวน เป็น เมนูอาหารไทย ที่หาทานได้ยากในปัจจุบัน ทำให้คนรุ่นใหม่อย่างเรา ๆ ไม่ค่อยมีโอกาสได้รับประทาน และอาจจะถูกหลงลืมไปในอนาคต เราจึงชวนทุกคนมาลองทำ และลองทาน อาหารไทยโบราณ เมนูนี้กันด้วยวิธีการทำง่าย ๆ 

  1. ขั้นตอนแรกให้เรานำซี่โครงหมู หรือวัวไปตุ๋น โดยเริ่มจากการตั้งหม้อด้วยไฟอ่อน ใส่น้ำลงไปประมาณครึ่งหม้อแล้วใส่ซี่โครงที่เตรียมไว้ลงไปในขณะที่น้ำยังไม่ร้อน ตามด้วยข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด และเกลือเล็กน้อย โดยใช้เวลาตุ๋นประมาณ 1 ชั่วโมง หรือจนกว่าจะได้เนื้อที่นุ่มตามความชอบ ระหว่างรอให้ไปทำขั้นตอนต่อไปได้เลย และตักฟองออกเป็นระยะ เพื่อให้น้ำซุปมีความใส
  2. นำตะไคร้ซอยลงไปโขลกพอหยาบ ตามด้วยกระเทียม พริกขี้หนู เมื่อหยาบแล้วให้ใส่กะปิ มะเขือพวง น้ำมะนาว น้ำตาลปี๊บ โขลกต่อให้เข้ากัน
  3. เมื่อตุ๋นเนื้อจนนุ่มได้ที่แล้ว ให้ใส่น้ำพริกกะปิที่เตรียมไว้ลงไปทั้งหมด ตามด้วยใบมะกรูดฉีก พริกขี้หนูบุบ คนให้เข้ากันแล้วชิมรส ในขั้นตอนนี้สามารถปรุงรสเพิ่มได้ตามชอบ จากนั้นใส่ใบโหระพา คนให้เข้ากันแล้วปิดเตา ตักใส่ถ้วยเสิร์ฟพร้อมโรยหน้าด้วยหอมแดงซอย ตะไคร้ซอย และใบมะกรูดซอย เพียงเท่านี้ แกงรัญจวน ของเราก็พร้อมรับประทานแล้วค่ะ

READ MOREREAD MORE
เมนูอาหารไทย

แกงเทโพ เมนูอาหารไทยครบรส เข้มข้นเครื่องแกงแกงเทโพ เมนูอาหารไทยครบรส เข้มข้นเครื่องแกง

แกงเทโพ เมนูอาหารไทยครบรส เข้มข้นเครื่องแกง
เมนูอาหารไทย

    หากพูดถึงแกงเทโพ คงทำให้หลายคนนึกถึง เมนูอาหารไทย ที่ใช้ปลาน้ำจืดอย่างปลาเทโพมาประกอบอาหาร แต่ในปัจจุบันปลาชนิดนี้ค่อนข้างหาทานได้ยาก จึงนิยมนำหมูสามชั้นมาใช้แทน เพราะสามารถหาได้ง่าย และอร่อยไม่แพ้กันเลย โดยจะมีรสชาติเปรี้ยว เค็ม หวานเล็กน้อย และมันจากกะทิเข้มข้น ที่สำคัญยังมีกลิ่นหอมเฉพาะจากผักบุ้งอ่อน ใบมะกรูด และที่สำคัญเป็นอาหารไทยที่ใส่มะกรูดลงไปทั้งลูก 

| วัตถุดิบในการทำแกงเทโพ เมนูอาหารไทยมีประโยชน์
เมนูอาหารไทย

     สิ่งที่เราควรคำนึงถึงในการเลือกรับประทาน อาหารไทย ในแต่ละมื้อ นอกจากรสชาติความอร่อย และความต้องการที่จะรับประทานแล้ว เราควรเลือก เมนูอาหารไทย ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายด้วย เนื่องจากอาหารทุกมื้อส่งผลกับสุขภาพในระยะยาว ซึ่ง แกงเทโพ นอกจากจะมีความอร่อยแล้ว ยังมีคุณค่าทางโภชนาการ เช่น กะทิ วัตถุดิบหลักมีสารอาหารเป็นไขมันที่มีประโยชน์ ส่วนผักบุ้งที่ใช้ประกอบอาหารยังมีเบต้าแคโรทีน ช่วยบำรุงสายตา และวัตถุดิบอื่น ๆ ที่เลือกใช้เองก็มีประโยชน์ด้วยเช่นกัน

วัตถุดิบในการทำแกงเทโพ
  1. ผักบุ้งไทยอ่อน ๆ หั่นชิ้น 500 กรัม 
  2. หมูสามชั้นหั่นชิ้นพอดีคำ 300 กรัม
  3. พริกชี้ฟ้าแดงหั่นแว่น 20 กรัม
  4. ใบมะกรูดฉีก 2 กรัม
  5. ลูกมะกรูดหั่นครึ่ง นำเมล็ดออก 2 ลูก
  6. พริกแกงเผ็ด 3 ช้อนโต๊ะ
  7. หัวกะทิ 600 กรัม
  8. หางกะทิ 300 กรัม
  9. น้ำเปล่า 200 กรัม
  10. น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
  11. น้ำตาลปี๊บ 2 ช้อนโต๊ะ
  12. น้ำมะขามเปียก 3 ช้อนโต๊ะ
เมนูอาหารไทย
ขั้นตอนวิธีการทำแกงเทโพ

     สูตรในการทำ เมนูอาหารไทย ของเราในวันนี้ เป็นสูตรการทำ แกงเทโพ แบบโบราณที่หาทานได้ยาก ใช้วิธีการผัดกะทิให้แตกมัน แทนการใช้น้ำมันในการผัด ส่งผลให้ อาหารไทย จานนี้มีรสชาติที่อร่อยเข้มข้น หอมกลิ่นกะทิมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีสีที่สวยงามกว่าแกงเทโพที่เราได้รับประทานกันในปัจจุบัน

  1. ขั้นตอนแรกตั้งกระทะด้วยไฟกลางค่อนอ่อน ใส่หัวกะทิครึ่งหนึ่งของที่เตรียมไว้ลงไปผัด จนกว่ากะทิจะแตกมัน ตามด้วยพริกแกงเผ็ด ผัดคลุกเคล้าให้เข้ากัน และส่งกลิ่นหอม เสร็จแล้วเติมหัวกะทิที่เหลือลงไปผัดต่อ จากนั้นใส่หมูสามชั้นลงไปผัดให้เข้ากันดีแล้วเติมหางกะทิลงไป เปลี่ยนเป็นไฟกลางค่อนไฟแรง และรอให้น้ำแกงเดือด
  2. ใส่ผักบุ้งลงไปผัดในกระทะ จนผักเริ่มหดตัวแล้วลดลงเป็นไฟกลาง หากน้ำข้นจนเกินไปสามารถเติมน้ำเปล่าลงไปเพิ่มได้ และเคี่ยวต่อจนหมูสามชั้นสุกดี
  3. ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บ น้ำมะขามเปียก และน้ำปลา ทำการคนให้เข้ากัน ชิมรสชาติแล้วปรุงเพิ่มได้ตามชอบ 
  4. เมื่อต้มน้ำเดือดอีกครั้ง ให้เติมพริกชี้ฟ้าแดง ใบมะกรูดฉีก บีบน้ำมะกรูด และใส่ลงไปทั้งลูก เคี่ยวต่ออีกเล็กน้อยแล้วปิดเตา จัดเสิร์ฟได้เลยค่ะ

READ MOREREAD MORE
อาหารภาคกลาง

เนื้อเค็มต้มกะทิ อาหารเมนูเด็ดสูตรโบราณหากินยากเนื้อเค็มต้มกะทิ อาหารเมนูเด็ดสูตรโบราณหากินยาก

เนื้อเค็มต้มกะทิ อาหารภาคกลางเมนูเด็ดสูตรโบราณหากินยาก
อาหารภาคกลาง

   อาหารไทยนั้นมีรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวแตกต่างกันไปในแต่ละภาค อย่างรสชาติ อาหารภาคกลาง นับได้ว่ามีความโดดเด่นเป็นพิเศษมากกว่าอาหารภาคอื่น อาหารของภาคกลางมีการผสมผสานของหลากหลายรสชาติทั้งรสเปรี้ยว หวาน เค็ม เผ็ด เป็นอาหารที่มีครบทุกรส ซึ่ง อาหารไทย ที่ชาวต่างชาติส่วนใหญ่รู้จักและนิยม

   วิธีการปรุง อาหารภาคกลาง มีความหลากหลาย ซับซ้อน มีกรรมวิธีในการปรุงที่หลายแบบ ได้แก่ แกง ต้ม ผัด ทอด ยำ เครื่องจิ้ม เช่น น้ำพริก หลน เป็นต้น 

   อย่างเช่นเมนูที่จะนำมาเสนอในวันนี้เป็นเมนู สำหรับบางคนที่กำลังมองหาสูตรอาหารที่ทำง่ายและแปลกใหม่จากเมนูเดิม ๆ ไว้ทำทานกันในครอบครัว ขอแนะนำเป็นแกงกะทิแบบไทยๆ ที่ไม่ค่อยซ้ำใครอย่าง

| เนื้อเค็มต้มกะทิ อาหารไทยสูตรโบราณ 
อาหารภาคกลาง

    เนื้อเค็มต้มกะทิ เป็นเมนู อาหารภาคกลาง ที่เป็นสูตรไทยโบราณ ที่หลายคนไม่เคยได้ทาน ด้วยเพราะค่อนข้างหาทานยากในปัจจุบัน นั่นแน่คงคิดแล้วใช่ไหมว่า ถ้าหาทานได้ยากก็คงจะทำได้ยากแน่เลย 

   แต่บอกเลยว่าวิธีทำนั้นง่ายไม่ซับซ้อน แถมอร่อย กินเพลิน จะทำกินเองที่บ้านก็ได้ หรือถ้าใครอยากเอาไปทำขายก็ถือเป็นไอเดียที่ดี ใครที่ชื่นชอบในการทานเนื้อวัว ต้องลองทำดู ขอบอกว่าว่าเด็ดคร้า!! 

วัตถุดิบในการทำเนื้อเค็มต้มกะทิ
  1. เนื้อเค็ม 300 กรัม (แต่ถ้าใครจะประยุกต์เปลี่ยนเป็นหมูเค็มได้ เพราะเดี๋ยวนี้หลายคนเลือกที่จะทานหมูมากว่าเนื้อวัว และราคาของเนื้อหมูก็ต่ำกว่าเนื้อวัวด้วย)
  2. กะทิ 3 ถ้วย (คั้นหัวกะทิ 1 ถ้วย – หางกะทิ 2 ถ้วย)
  3. หอมแดงซอย 20 หัว
  4. น้ำตาลปีบ 2-3 ช้อนโต๊ะ
  5. เกลือป่น และ น้ำปลา (มากน้อยตามชอบ)
  6. พริกขี้หนูเม็ดเล็กแดงและเขียว (ที่เลือกใช้พริกขี้หนูหอมจะได้รสชาติที่จัดจ้าน และไม่เหม็นเขียว)
  7. ใบมะกรูดฉีก และใบมะกรูดซอย สำหรับโรยหน้า
อาหารภาคกลาง
ขั้นตอนวิธีการทำเนื้อเค็มต้มกะทิ

     เคล็ดลับของรสชาติ เนื้อเค็มต้มกะทิ นั้นจะมีวิธีการทำที่คล้ายกับ อาหารภาคกลาง ประเภทหลน แต่จะใช้เวลาในการเคี่ยวจะนานกว่าเล็กน้อย ถ้าจะอร่อยแนะนำว่าทานคู่กับผักสด ๆ กรอบ อร่อยมากกกจริงๆ ว่าแล้วมาลงมือทำกันเลยดีกว่า

  1. เริ่มจากการย่างเนื้อเค็มให้หอม ซึ่งอาจจะทำด้วยการย่างแบบทั่วไป หรือจะจี่บนกะทะ ขอแนะนำว่าถ้าได้ย่างกับเตาถ่าน ก็จะได้ความหอมและได้ความรู้สึกถึงแบบ อาหารไทยโบราณ มากกว่า เมื่อย่างเนื้อเค็มแล้วให้นำมาทุบให้นิ่ม แล้วหั่นเนื้อเค็มตามขวาง เพื่อให้เนื้อเค็มนุ่มทานง่าย เวลาต้มรสชาติของเนื้อจะได้ออกมาผสมกับน้ำกะทิ จะได้เข้าเนื้อเพิ่มความอร่อยมากขึ้นด้วย
  2. จากนั้นก็นำหางกะทิใส่หม้อขึ้นตั้งไฟกลาง รอพอเดือดแค่ปุด ๆ ให้ใส่เนื้อเค็มและหอมแดง เคี่ยวด้วยไฟอ่อนๆ จนเนื้อนิ่มและหางกะทิเริ่มงวด ระหว่างที่รอก็คนไปเรื่อย ๆ กะทิจะได้ไม่แตกมันจากนั้นปรุงรสด้วยน้ำตาลปีบ น้ำปลาและเกลือชิมรสตามชอบ แต่ควรระวังที่ตอนปรุงพยายามใส่น้ำปลาเบามือไว้ เพราะในเนื้อเค็มเองก็มีรสชาติเค็มอยู่แล้ว ควรที่จะค่อยๆ ชิม ค่อยๆ ปรุงเติมไปตามชอบ สำหรับเมนูนี้นั้นรสชาติหลัก คือเค้าจะมีความเปรี้ยวนำมาเล็กน้อย ตามด้วยหวาน และเค็มอ่อนๆ 
  3. เมื่อได้รสชาติที่ต้องการแล้วฉีกใบมะกรูดตามด้วยพริกขี้หนู และถ้าไม่ชอบให้กะทิแตกมันมากจะใส่หัวกะทิไปตอนท้ายก็ได้ ก่อนแล้วดับเตาแล้วยกลงจากเตา 
  4. ตักเนื้อเค็มต้มกะทิใส่ชาม โรยด้วยใบมะกรูดซอยฝอย แล้วนำเสริฟ์ทานคู่กับผักสด เช่น ผักชี แตงกวา ผักกาดขาวเพียงเท่านี้เป็นอันสำเร็จ “เนื้อเค็มต้มกะทิ ” รสชาติอร่อย ๆ อาหารไทยโบราณ ด้วยฝืมือคนยุคใหม่ ไว้ทานคู่กับข้าวสวยร้อน ๆ 

   ข้อควรระวังเล็กน้อยก็คือ ตอนปรุงพยายามใส่น้ำปลาเบามือไว้ซักหน่อย เพราะในเนื้อเค็มเองเค้ามีรสชาติอยู่แล้ว ควรที่จะค่อยๆ ชิม ค่อย ๆ ปรุงเติมไปตามชอบ อย่างที่กล่าวไว้ว่า เนื้อเค็มต้มกะทินี้จะมีลักษณะคล้ายกับการหลนรสชาติหลักของเมนูนี้ ก็คือเค้าจะมีความเปรี้ยวนำมาเล็กน้อย ตามด้วยหวาน แอบเผ็ดเล็ก ๆ และเค็มอ่อน ๆ นั่นเอง เป็นเมนู อาหารภาคกลาง ที่ทำได้ไม่ยากและอร่อยมากจริง ๆ ลองทำกันดูนะขอบอกรับรองจะติดใจ 

READ MOREREAD MORE
น้ำพริกอ่อง

น้ำพริกอ่อง ทานคู่ผักนานาชนิด อาหารเหนือเพื่อสุขภาพน้ำพริกอ่อง ทานคู่ผักนานาชนิด อาหารเหนือเพื่อสุขภาพ

น้ำพริกอ่อง ทานคู่ผักนานาชนิด อาหารเหนือเพื่อสุขภาพ
น้ำพริกอ่อง

   หากกล่าวถึงอาหารของทางภาคเหนือ หลายคนคงนึกถึงน้ำพริกอ่องที่ตกทอดกันมาตั้งแต่สมัยล้านนา ซึ่งเป็นอาหารที่รับประทานกันในภาคเหนือ มีสีส้มไปจนถึงสีแดง จากมะเขือเทศ และพริกสด รสชาติครบรสทั้งเผ็ด เปรี้ยว เค็ม หวาน รับประทานคู่กับผักสด ผักต้ม แคปหมูแล้วเข้ากันเป็นอย่างดี จึงถือเป็น อาหารเพื่อสุขภาพ อีกหนึ่งจานที่พลาดไม่ได้เมื่อได้ไปเยี่ยมเยือนทางภาคเหนือ มักจะพบเจอคนในพื้นที่ทำเพื่อต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง หรือทำเพื่อรับประทานกันในครัวเรือน และเทศกาลสำคัญต่าง ๆ 

| วัตถุดิบในการทำอาหารเพื่อสุขภาพ น้ำพริกอ่องมากล้นประโยชน์
น้ำพริกอ่อง

   สาเหตุที่เราบอกว่า น้ำพริกอ่อง นั้นเป็นเมนู อาหารเพื่อสุขภาพ ก็เป็นเพราะว่าวัตถุดิบต่าง ๆ ที่เลือกใช้นั้นล้วนมีประโยชน์มากมาย เช่น มะเขือเทศราชินี ช่วยบำรุงผิวพรรณ รักษาสิว บำรุงสายตา เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยลดน้ำหนัก ,หอมแดง แก้ไข้หวัด ลมพิษ ลดการปวดข้อ ลดสิว บำรุงผม และผิว , พริกแห้ง มีสารต้านอนุมูลอิสระ เสริมภูมิต้านทาน ช่วยให้เจริญอาหาร , กะเทียม ช่วยลดอาการผมร่วง รักษาสิว ป้แงกันไข้หวัด ลดอาการอักเสบ ฯลฯ นอกจากที่เราได้กล่าวมาข้างต้นนั้น อาหารไทยภาคเหนือ จานนี้ยังมีประโยชน์อีกมากมาย รวมถึงประโยชน์จากผักเครื่องเคียงที่นำมาทานคู่กันด้วยค่ะ

วัตถุดิบในการทำน้ำพริกอ่อง
  1. หมูสับ 200 กรัม
  2. มะเขือเทศราชินี หั่นชิ้นเล็ก 250 กรัม 
  3. กระเทียมใหญ่ปลอกเปลือก 2 กลีบ
  4. หอมแดงปลอกเปลือก 2 หัว
  5. พริกแห้ง 5 เม็ด
  6. น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
  7. น้ำมะขามเปียก 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
  8. น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ
  9. น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
  10. ผักเครื่องเคียงตามชอบ
น้ำพริกอ่อง
ขั้นตอนวิธีการทำน้ำพริกอ่อง

   เมนู อาหารเพื่อสุขภาพ ของเราในวันนี้ นอกจากจะอร่อยครบรส มีสรรพคุณข้อดีต่อร่างกายมากมายแล้วยังสามารถทำได้ง่าย ในการทำน้ำพริกอ่องรับประทานในแต่ละครั้งยังสามารถเก็บไว้ในตู้เย็น เพื่อรับประทานในครั้งต่อไปได้นานถึง 1 อาทิตย์ ซึ่งถือว่าคุ้มค่ากับการลงมือทำมากค่ะ ดังนั้น เราไปดูขั้นตอนวิธีการทำ อาหารไทยภาคเหนือ กันแบบง่าย ๆ กันเลยนะคะ

  1. ขั้นตอนแรกโขลกพริกแห้ง หอมแดง กะเทียมให้เข้ากัน พักไว้
  2. ตั้งกระทะด้วยไฟกลาง ใส่น้ำมันพืช และส่วนผสมในขั้นตอนที่ 1 ลงไปผัดให้หอม ตามด้วยหมูสับคลุกเคล้าให้เข้ากัน ตามด้วยมะเขือเทศราชินีที่หั่นไว้ผัด และยีให้เข้ากันกับเนื้อหมู ใช้เวลาผัดประมาณ 10 นาที
  3. ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บ น้ำมะขามเปียก น้ำปลาคลุกเคล้าให้เข้ากัน จากนั้นปิดเตานำไปจัดใส่จาน เสิร์ฟคู่กับผักเครื่องเคียงได้เลยค่ะ

READ MOREREAD MORE
ต้มแซ่บกระดูกอ่อน

ต้มแซ่บกระดูกอ่อน อาหารไทยทำง่ายจากภาคอีสานต้มแซ่บกระดูกอ่อน อาหารไทยทำง่ายจากภาคอีสาน

ต้มแซ่บกระดูกอ่อน อาหารไทยทำง่ายจากภาคอีสาน
ต้มแซ่บกระดูกอ่อน

หากใครชอบรับประทานอาหารอีสานอยู่แล้ว เชื่อว่าคงไม่มีใครที่ไม่รู้จักเมนู “ต้มแซ่บกระดูกอ่อน” อาหารไทยทำง่ายจากภาคอีสานของเรานี่เองค่ะ โดยต้มแซ่บกระดูกอ่อนนี้เป็นอีกหนึ่งเมนูอาหารประเภทต้มยำขึ้นชื่อที่รับประทานกันทั่วประเทศ ด้วยรสชาติครบรส แซ่บถึงใจ หอมเครื่องเทศสมุนไพรมากมายที่ใช้เป็นส่วนผสม ยิ่งได้ซดน้ำร้อน ๆ ในตอนที่ไม่สบายแล้วยิ่งช่วยให้รู้สึกดีขึ้นมาก ๆ เลยค่ะ 

| วัตถุดิบที่ใช้ในการทำอาหารไทยทำง่าย มีประโยชน์
ต้มแซ่บกระดูกอ่อน

ด้วยความที่ต้มแซ่บกระดูกอ่อน เมนูอาหารไทยทำง่ายของเราในวันนี้ มีวัตถุดิบส่วนประกอบในการทำที่มากไปด้วยสมุนไรมากมาย จึงนับเป็นเมนูที่ดีต่อสุขภาพ หรือจะเรียกว่าอาหารเป็นยาตามหลักการทานอาหารแบบจีนก็ไม่ผิดค่ะ เพราะเมนูนี้มากไปด้วยโปรตีน พลังงาน มีเส้นใยอาหาร แคลเซียม ธาตุเหล็ก ไอโอดีน คลอโรฟิลล์ และวิตามินอีกมากมายที่เราจะได้รับหลังจากทานเมนูนี้ 

วัตถุดิบในการทำต้มแซ่บกระดูกอ่อน
  1. กระดูกหมูอ่อน 500 กรัม
  2. ข่าหั่นแว่น 4 ชิ้น
  3. ตะไคร้หั่นท่อน 3 ต้น
  4. ใบมะกรูดฉีก 5 ใบ
  5. หอมแดงบุบ 4 หัว
  6. เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
  7. มะขามเปียก 1 ช้อนชา
  8. น้ำเปล่า 1.5 ลิตร
  9. พริกป่น 1 ช้อนชา
  10. ข้าวคั่ว 1 ช้อนตวง
  11. พริกขี้หนูบุบ 10 เม็ด
  12. น้ำมะนาว 1 ช้อนตวง
  13. น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนชา
  14. น้ำปลา 1 + 1/2 ช้อนตวง
  15. ต้นหอมซอย 1 ต้น
  16. ผักชีฝรั่งซอย 2 ต้น
ต้มแซ่บกระดูกอ่อน
ขั้นตอนวิธีการทำต้มแซ่บกระดูกอ่อน

เมนูสุดแซ่บอย่างต้มแซ่บกระดูกอ่อนนั้นแม้จะมีวัตถุดิบมากมาย แต่ก็ถูกจัดเป็นอาหารไทยทำง่าย ไม่ซับซ้อน ไม่หลากหลายขั้นตอน เพียงแค่เราอาศัยความตั้งใจในการทำเพียงเท่านั้น มือใหม่เองก็สามารถทำอาหารอีสานนี้ออกมารับประทานได้อย่างอร่อยแน่นอน หากไม่เชื่อคงต้องลองนำสูตรวิธีการทำของเราไปลองทำดูกันแบบง่าย ๆ ที่บ้านนะคะ 

  1. ตั้งหม้อด้วยไฟแรงใส่น้ำลงไปต้มให้เดือด ตามด้วยกระดูกหมู เมื่อน้ำเริ่มเดือดแล้วให้ตักฟองออกให้หมด เพื่อให้น้ำซุปของเราใสน่ารับประทาน จากนั้นใส่เกลือ และมะขามเปียก ปรับไฟอ่อนแล้วปิดฝาหม้อต้มไว้เป็นเวลา 1 ชั่วโมงค่ะ
  2. เมื่อครบเวลาที่ตั้งไว้แล้วให้ใส่สมุนไพรอย่าง หอมแดง ข่า ตะไคร้ และใบมะกรูดลงไป ปรับไฟเป็นไฟกลาง คนเล็กน้อยและต้มต่ออีก 10 นาที ปิดไฟลง
  3. ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาลทราย ข้าวคั่ว พริกป่น และน้ำมะนาวลงไปคนให้เข้ากัน หากยังไม่ถูกใจสามารถปรุงรสได้ตามชอบค่ะ จากนั้นนำไปจัดใส่ถ้วย โรยหน้าด้วยพริกขี้หนู ต้นหอมซอย ผักชีฝรั่ง พร้อมรับประทานแล้วค่ะ

READ MOREREAD MORE
จอแหร้ง

จอแหร้ง รสชาติเข้มข้น อาหารไทยโบราณหาทานได้ยากจอแหร้ง รสชาติเข้มข้น อาหารไทยโบราณหาทานได้ยาก

จอแหร้ง

     ในบทความนี้เราจะพาเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ทุกคนมาอนุรักษ์อาหารไทยโบราณที่มีมาตั้งแต่สมัยก่อน และหาทานได้ยากในปัจจุบัน ทั้งยังมีรสชาติอร่อยกลมกล่อมไม่แพ้อาหารไทยยอดนิยมอีกหลายเมนู เพียงแค่บางเมนูนั้นไม่เป็นที่รู้จักเท่าที่ควร จึงไม่ได้รับความนิยมทำขายให้เราได้ลิ้มลองกันในปัจจุบัน เมนูนี้ก็คืออาหารจากภาคใต้ “จอแหร้ง” หรือ “แกงกะทิกุ้งสดตะไคร้” นั่นเองค่ะ

| วัตถุดิบที่ใช้ในการทำอาหารไทยโบราณนาม จอแหร้ง
จอแหร้ง

อย่างที่เรารู้กันดีอยู่แล้วนะคะว่าอาหารใต้นั้น มีเอกลักษณ์คือเครื่องเทศสมุนไพร ความเข้มข้น และรสชาติที่จัดจ้าน อาหารไทยโบราณของภาคใต้เองก็เช่นกันค่ะ เมนูจอแหร้งนั้นก็สามารถแสดงเอกลักษณ์ของอาหารภาคใต้ออกมาได้เป็นอย่างดี รสชาติเผ็ด เปรี้ยว หวาน มัน เข้มข้น กลมกล่อม กลิ่นหอมกะทิ กะปิ และพืชสมุนไพรมากมาย เป็นหนึ่งในเมนูอาหารไทยที่น่ารับประทานมาก ๆ แต่ก่อนอื่นเราต้องไปเตรียมวัตถุดิบกันก่อนนะคะ

วัตถุดิบที่ต้องเตรียม
  1. กุ้งสดปอกเปลือกผ่าหลัง 200 กรัม
  2. หัวกะทิ 500 มิลลิลิตร
  3. ตะไคร้ซอยบาง 50 กรัม
  4. หอมแดงซอยบาง 50 กรัม
  5. กะเทียมซอยบาง 50 กรัม
  6. พริกขี้หนูซอย 30 กรัม
  7. ขมิ้นซอย 20 กรัม
  8. ใบมะกรูดฉีก 15 กรัม
  9. กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ
  10. นํ้ามะขามเปียก 2 ช้อนโต๊ะ
  11. เกลือ 1 ช้อนชา
  12. นํ้าตาลปี๊บ 2 ช้อนชา
  13. พริกชี้ฟ้าสีแดง และสีเขียวซอยปริมาณตามชอบ
จอแหร้ง
ขั้นตอนวิธีการทำจอแหร้ง

อาหารนั้นเป็นสิ่งจำเป็นที่เรารับประทานกันในทุก ๆ วันอยู่แล้ว แต่จะดีกว่าไหม หากเมนูอาหารที่เราทานนั้นเป็นอาหารที่อร่อยครบรส และยังดีต่อสุขภาพ ซึ่งอาหารไทยโบราณของเราในวันนี้ก็เป็นอาหารที่ตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี เพราะวัตถุดิบมากมายที่ใช้ทำนั้นล้วนมีประโยชน์ทางโภชนาการ ดีต่อสุขภาพ บำรุงร่างกาย และช่วยรักษาโรคได้อีกด้วย แถมยังเป็นเมนูที่ทำได้ง่ายเพียงสองขั้นตอนเท่านั้น มือใหม่เองก็สามารถทำได้โดยง่าย ใช้เวลาน้อย และไม่ซับซ้อนค่ะ

  1. ขั้นตอนแรกตั้งกระทะด้วยไฟอ่อน ใส่หัวกะทิลงไปเคี่ยวให้เดือด ตามด้วยกะปิ ขมิ้นผัดคลุกเคล้าให้เข้ากัน ใส่เกลือ กะเทียม หอมแดง และตะไคร้ผัดให้เข้ากัน (หากชอบไม่ชอบแบบแห้งเกินไปสามารถเติมน้ำเปล่าเพิ่มได้ค่ะ)
  2. เมื่อเริ่มเดือดแล้วให้ใส่พริกชี้ฟ้าทั้งสองสี พริกขี้หนู น้ำมะขามเปียก และน้ำตาลปี๊บลงไปผัดให้เข้ากัน แล้วใส่กุ้งลงไปได้เลยคลุกเคล้าต่อได้เลย จากนั้นปิดเตาจัดเสิร์ฟได้เลยค่ะ

READ MOREREAD MORE