หมวดหมู่: สูตรขนม

ขนมโค

ขนมโคขนมโค

ขนมโค
ขนมโค ขนมโบราณ

     “กินคาวไม่กินหวาน สันดานไพร่” สำนวนสุภาษิตคำนี้ยังสามารถใช้ได้เสมอมาในปัจจุบัน เพราะเมื่อเรากินของคาวแล้ว เราต้องตบท้ายด้วยของหวาน เพื่อล้างปาก ซึ่งก็สามารถเลือกขนมหวานได้อย่างหลากกลาย ทั้งขนมไทย และเบเกอรี่ ตามแต่จะหาได้สะดวกในเวลาหลังอาหาร ซึ่งในตอนนี้เราจะขอกล่าวถึงขนมโบราณ ซึ่งเป็นขนมที่หาทานได้ยากแล้วได้ปัจจุบัน เพราะมีไม่มากนักที่จะทำขายกัน จึงไม่แปลกที่หลายคนไม่เคยพบเจอ หรือไม่เคยรู้จักมาก่อน เป็นขนมหวานแสนอร่อยที่อาจถูกลืมเลือนได้ในอนาคต หากเราไม่ช่วยกันอนุรักษ์ไว้ซึ่งขนมที่บ่งบอกถึงวัฒนธรรมไทยของเรา

     ซึ่งขนมโบราณที่เป็นขนมไทยนั้นก็มีอยู่มากมายหลายชนิด ทั้งขนมคาว และขนมหวาน ยกตัวอย่างเช่น ขนมบุหลันดั้นเมฆ , ขนมอินทนิล , ขนมช่อมะลิซ้อนไส้กุ้ง , ขนมหยกมณี , ขนมดอกจอก เป็นต้น ซึ่งขนมเหล่านี้ล้วนเป็นขนมไทยที่มีมาแต่โบราณ ซึ่งบางชนิดนั้นสามารถหาทานได้ยาก ไม่ทำขายกันมากมายเหมือนอย่างขนมไทยชนิดอื่น ๆ เพราะนิยมทำกันแค่บางภาคในไทยเท่านั้น เนื่องจากวัตถุดิบที่ใช้ทำนั้นก็มีจำกัดแค่บางภาคเท่านั้น

     ในตอนนี้เราก็ได้หยิบยกขนมโบราณของภาคใต้มาให้ทุกคนได้ทำความรู้จัก และทำทานกัน โดยที่ไม่ต้องไปหาซื้อไกลถึงถิ่นภาคใต้ ขนมหวานนุ่ม คลุกมะพร้าว สอดไส้หวานละมุนจากน้ำตาล ที่เราได้นำมาแนะนำในตอนนี้ มีชื่อว่า “ขนมโค” เราไปทำความรู้จักขนมชนิดนี้กันให้มากขึ้นอีกสักนิด ก่อนจะลองทำกันดีกว่าค่ะ

| ขนมโค ขนมโบราณ หน้าตาคล้ายโมจิ
ขนมโค

     ขนมโค เป็นขนมโบราณของภาคใต้ ซึ่งเป็นภาคที่มีมะพร้าว ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักของขนมชนิดนี้อยู่มากมาย จึงนิยมทำกันเฉพาะในภาคใต้ จึงหาทานได้ยากในภาคอื่น ๆ อีกทั้งยังเป็นขนมมงคล ที่คนภาคใต้ใช้ในการบูชา ไหว้ครู ไหว้ตายายโนรา หรือบนบานศาลกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นับถือ เช่น เจ้าที่ พระพิฆเนศ หลวงพ่อทวด เป็นต้น รูปร่างลักษณะคล้ายเบเกอรี่อย่างขนมโมจิ มีสีสันสวยงามน่ารับประทาน เนื้อสัมผัสเหนียมนุ่ม คลุกด้วยมะพร้าวขูด สอดไส้น้ำตาลก้อน รสชาติครบรส หวาน มัน เค็ม 

     หลังจากรู้จักกับขนมโคกันมาพอสมควรแล้ว เราจะพาทุกคนไปดูวัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีการทำที่แสนจะง่ายดาย ทุกคนสามารถทำได้ ไม่เว้นแม้แต่มือใหม่ เป็นอีกหนึ่งขนมไทยที่ไม่ต้องใช้ความประณีตมากนัก แถมยังอร่อยเหนียวนุ่มสู้ฟันสุด ๆ 

วัตถุดิบ
  1. แป้งข้าวเหนียว    100 กรัม
  2. น้ำเปล่า    100 มิลลิลิตร
  3. น้ำตาลแว่น หั่นเต๋าเป็นชิ้นเล็ก
  4. มะพร้าวขูดนึ่ง คลุกเกลือเล็กน้อย
  5. สีผสมอาหารตามชอบ
  6. ใบเตยมัด    2 ใบ
  7. น้ำเปล่า สำหรับต้ม
วัตถุดิบ ขนมโค
วิธีการทำ

     หลายคนอาจจะคิดว่าขนมโบราณอย่างขนมโคนั้น เหตุที่หาทานได้ยากอาจจะเป็นเพราะ สามารถทำได้ยาก แต่เราขอบอก และย้ำอีกครั้งนะคะ ว่าทำได้ง่ายมาก ๆ ไม่มีขั้นตอนที่สลับซับซ้อนเหมือนขนมไทยชนิดอื่น ๆ เหตุที่เราหาทานได้ยากอาจจะเป็นเพราะ ขนมชนิดนี้นิยมกันแค่ในภาคใต้ ทำให้ไม่เป็นที่รู้จักของคนในภาคอื่น ๆ จึงไม่นิยมทำขายกันตามร้านขายขนมไทยต่าง ๆ ดังนั้น หากใครอยากทานต้องลงมือ ลงแรงทำเองกันแล้วนะคะ รับรองความอร่อยไม่แพ้ขนมไทยชนิดอื่น ๆ แน่นอนค่ะ

  1. ขั้นตอนแรกเทแป้งข้าวเหนียว และน้ำเปล่าผสมกัน จากนั้นนวดให้เข้ากันจนจับตัวเป็นก้อน 
  2. แบ่งแป้งที่นวดเสร็จแล้วตามจำนวนสีผสมอาหารที่ใช้ แล้วใส่สีผสมอาหารลงไปนวดผสมให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียวกัน พักไว้ให้แป้งเซตตัวเป็นเวลา 1 ชั่วโมง โดยปิดด้วยผ้าขาวบาง หรือแรปห่ออาหารตามสะดวก
  3. ปั้นแป้งเป็นก้อนกลม และแผ่ออกเป็นแผ่น เพื่อใส่น้ำตาลแว่นที่เตรียมไว้ และปั้นห่อเป็นก้อนกลมอีกครั้ง ทำซ้ำจนกว่าแป้งจะหมด
  4. ตั้งหม้อให้ร้อน โดยใส่น้ำเปล่า และใบเตยลงไป เมื่อน้ำเดือดได้ที่แล้วนำเม็ดขนมโคที่ปั้นไว้ใส่ลงไป เมื่อสุกแล้วจะลอยขึ้นมาเหนือน้ำ จากนั้นใช้กระชอนตักขึ้นมา คลุกกับมะพร้าวขูดให้ทั่ว เสร็จแล้วจัดใส่จานพร้อมเสิร์ฟแล้วค่ะ

ภาพจาก : news.thaipbs.or.th , greenery.org , greenery.org

READ MOREREAD MORE
ขนมบุหลันดั้นเมฆ

สูตรขนมไทยโบราณ หาซื้อทานยากสูตรขนมไทยโบราณ หาซื้อทานยาก

สูตรขนมไทยโบราณ หาซื้อทานยาก
ขนมบุหลันดั้นเมฆ

     ขนมไทย เป็นขนมที่มีความแตกต่างจากชนชาติอื่นเป็นอย่างมาก ซึ่งขนมเราจะเน้นไปทางความประณีตงดงามในการทำ และวัตถุดิบในการทำนั้นก็หาได้ไม่ยาก ชาวไทยโบราณจะนำสิ่งรอบตัวมาปรุงแต่งเป็นอาหาร ซึ่งวันนี้เราจะมาบอก สูตรขนมไทยโบราณ บางชื่ออาจจะไม่คุ้นหูเลย เพราะปัจจุบันหาทานยากมาก และแทบจะไม่มีใครทำขายแล้ว โดยวันนี้เราจะมากล่าวถึงขนมไทยโบราณชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า “ขนมบุหลันดั้นเมฆ” 

     ขนมไทยโบราณชื่อนี้ มีประวัติยาวนาน ซึ่ง ขนมบุหลันดั้นเมฆ ในสมัยอดีต ที่ได้คิดริเริ่มขนมนี้ขึ้นมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 2 แห่งรัตนโกสินทร์ เป็นขนมชาววังที่เลื่องชื่อ ใคร ๆ ก็อยากจะได้ลิ่มลองรสชาติสักครั้งหนึ่ง ขนมบุหลันดั้นเมฆนี้ยังมีอีกชื่อว่า “บุหลันดั้นหมอก” รูปร่างหน้าตาจะสวยงาม เย้ายวนให้ทาน สีสันสดใส เป็นการทำขนมที่ปั้นประดิดประดอย เลียนแบบตามธรรมชาติ ซึ่งคนสมัยอดีต เวลาจะคิดค้นสิ่งใหม่ ๆ เขาจะมีแรงบันดาลใจมาจากสิ่งที่เห็นรอบ ๆ ตัว ขนมบุหลันดันเมฆนี้ได้สร้างเสมือนความงดงามของดวงจันทร์ที่เด่นฉายอยู่บนท้องฟ้า โดดเด่นท่ามกลางท้องผ้าที่มืดมิด ซึ่งชื่อที่ไพเราะของขนมชนิดนี้ก็มีความหมาย คำว่า “บุหลัน” หมายถึงดวงจันทร์นั่นเองรูปร่างหน้าตาของขนมนี้จึงสร้างเสมือนท้องฟ้ายามราตรี ที่มีดวงจันทร์เฉิดฉายอยู่ ตัวของขนมจะทำจากสีของดอกอัญชัน ให้สีฟ้าครามแทนท้องฟ้าในยามกลางคืน และไข่แดงที่นำมาวางไว้ตรงกลาง ก็เป็นสัญลักษณ์ของดวงจันทร์นั่นเอง

     เมื่อเราได้รู้ประวัติที่มาของ “ขนมบุหลันดั้นเมฆแล้ว” เชื่อว่าหลายคนก็คงอยากจะลิ้มลองรสชาติ แต่ก็น่าเสียดายที่ปัจจุบันนี้ ขนมไทยโบราณไม่ค่อยมีคนทำขายมากนัก มักหันไปนิยมขนมจำพวกเบเกอรี่กันมากกว่า แต่ไม่เป็นเรา เราจะมาบอก สูตรขนมไทยโบราณ วัตถุดิบ วิธีกระบวนการขั้นตอนในการทำ ขนมบุหลันดั้นเมฆ เพื่อให้สาวกขนมไทย ได้ลองไปทำทานเองที่บ้าน ต้องบอกก่อนเลยว่าสูตรนี้เด็ด ทำแล้วอร่อยจริง พลาดไม่ได้เลย

ขนมบุหลันดันเมฆ

เรามาดูกันเลยว่า เขามีเคล็ดลับ และกรรมวิธีในการทำยังไง จะยุ่งยาก หรือง่าย มาติดตามกันได้เลย

สูตรขนมไทยโบราณ บุหลันดันเมฆ

ส่วนผสม วัตถุดิบในการทำ
  1. กะทิ                            120 กรัม
  2. แป้งข้าวเจ้า                     10 กรัม (สำหรับผสมกับกะทิ)
  3. เกลือปริมาณเล็กน้อย
  4. ไข่แดง                           10 ฟอง
  5. น้ำตาลไอซิ่ง                     60 กรัม
  6. กลิ่นวานิลลา เล็กน้อย
  7. แป้งข้าวเจ้า                    100 กรัม (สำหรับผสมกับน้ำดอกอัญชัน)
  8.  แป้งเท้ายายม่อม               40 กรัม
  9. น้ำเปล่า                        200 กรัม
  10. น้ำเชื่อม                        350 กรัม (พักไว้จนเย็น)
  11. ถ้วยตะไล (สำหรับนึ่งขนม)
วิธีการทำ

ขั้นตอนที่ 1 นำดอกอัญชันปริมาณ 100 กรัม มาแช่ในน้ำร้อนแล้วคั้นเอาสีของดอกอัญชันออกมา จนได้สีม่วงคราม พักทิ้งไว้

ขั้นตอนที่ 2 นำแป้งข้าวเจ้า 100 กรัม มาผสมกับน้ำกะทิ แล้วเคี่ยวในกระทะให้ข้นปานกลาง เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วใส่เกลือลงไปในปริมาณเล็กน้อย คนให้เป็นเนื้อเดียวกันปิดไฟ พักไว้ให้เย็น

ขั้นตอนที่ 3 นำไข่ไก่มาแยกเอาเฉพาะไข่แดง ไปตีผสมกับน้ำตาลไอซิ่งให้เข้ากัน แล้วก็แต่งกลิ่นด้วยวานิลลา ผสมให้เข้ากัน ต่อจากนั้นทำให้เนื้อของไข่เนียนขึ้น ก็จะต้องนำไปกรองเตรียมไว้

ขั้นตอนที่ 4 นำแป้งข้าวเจ้า และแป้งเท้ายายม่อมมาผสมให้เข้ากัน เติมน้ำเปล่าไปที่ละน้อย อย่าเททีเดียว นวดแป้งประมาณ 5 นาที จนแป้งมีลักษณะเงา เทน้ำเปล่าที่เหลือลงไปให้หมด ใส่น้ำเชื่อมที่เตรียมไว้ลงไป เทน้ำดอกอัญชันลงไปผสมให้เข้ากัน นำไปกรองพักไว้

ขั้นตอนที่ 5 นำถ้วยตะไลไปนึ่งจนร้อน หยอดส่วนผสมแป้งลงไป ปิดฝานึ่งประมาณ 2-3 นาที ให้ดูว่าถ้าหากขอบขนมมีสีเข้ม ส่วนตรงกลางมีสีอ่อน ให้รีบนำออกจากความร้อน คว่ำถ้วยขนมลงชาม แป้งขนมที่ไม่สุกในส่วนของตรงกลางจะไหลออกมา เกิดหลุมขึ้น

วิธีทำบุหลันดันเมฆ

ขั้นตอนที่ 6 หยอดกะทิที่เคี่ยวไว้ลงไปในหลุมตรงกลาง นำไปนึ่งต่อประมาณ 1 นาที จากนั้นก็หยอดส่วนผสมไข่แดงลงไป นำไปนึ่งต่ออีกประมาณ 5 นาที 

ขั้นตอนที่ 7 จัดตกแต่งใส่จานให้สวย พร้อมเสิร์ฟความอร่อย

สูตรขนมไทยโบราณ

     สูตรขนมไทยโบราณ ขนมชนิดนี้ทำได้ไม่ยากเลยใช่ไหมทุกคน หน้าตาน่ารับประทานมาก หวานมันอร่อย หอมกลิ่นกะทิ และสีสวยของดออัญชัน อย่าลืมลิงไปทำทานเองที่บ้านนะ ขนมไทยของเราไม่แพ้ชาติใดในโลก

READ MOREREAD MORE
อาหารว่าง

อาหารว่างทำขายได้ง่าย ๆอาหารว่างทำขายได้ง่าย ๆ

อาหารว่างทำขายได้ง่าย ๆ
อาหารว่าง

               ในปัจจุบันอาหารว่างนั้นถือว่าเป็นอาหารที่ขายดีมาก ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงานที่ชอบหาของทานเล่นในเวลาว่าง แต่สิ่งที่ทุกคนโหยหานั้นก็ต้องเป็นเมนูที่มีรสชาติอร่อยและราคาจับต้องได้ด้วย ถ้าเกิดว่าใครกำลังมีไอเดียในการขายอาหารว่างแต่ยังคิดไม่ออกว่าจะขายอะไรดี ไม่ต้องห่วงเลย เพราะวันนี้เรามี 5 เมนูอาหารว่างทำขายได้ง่าย ๆ มาแนะนำ บอกได้เลยว่าเป็นเมนูที่คนส่วนใหญ่นิยมนำมาทานเล่นเป็นอาหารว่าง จะมีเมนูใดบ้างนั้นไปดูกันเลยค่ะ

| 1.สุกี้โรล
สุกี้โรล
วัตถุดิบและส่วนผสม
  • ใบผักกาดขาวตัดก้านขาวออก
  • รากผักชีหั่น
  • กระเทียมไทยแกะเปลือก
  • พริกไทยขาวเม็ด
  • หมูบดติดมัน
  • ซีอิ๊วขาว
  • น้ำมันหอย
  • น้ำตาลทราย
  • กุ้งชีแฮ้แกะเปลือกดึงเส้นดำออก บั้งท้องให้ตรง
  • วุ้นเส้นหั่นท่อนยาว
  • ข้าวโพดอ่อนผ่าครึ่ง
  • เห็ดเข็มทอง
  • ต้นหอมหั่นท่อน
  • แคร์รอตหั่นเส้น สำหรับห่อ
  • น้ำจิ้มสุกี้
วิธีทำ

– ตั้งหม้อน้ำบนไฟกลางให้พอน้ำเดือด แล้วนำใบผักกาดขาวลงลวกในน้ำเดือดประมาณ 20 วินาทีให้พอสุก จากนั้นก็ตักขึ้นและแช่น้ำเย็น

– นำผักกาดขาวที่ลวกมาซับน้ำด้วยกระดาษทิชชู และพักไว้

– หมักหมูโดยโขลกรากผักชี กระเทียมไทย และพริกไทยขาวรวมกันจนละเอียด แล้วตักใส่อ่างหมูบด ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว น้ำมันหอย และน้ำตาลทราย จากนั้นก็คลุกเคล้าให้เข้ากัน เตรียมไว้

– วางใบผักกาดขาวที่ลวกแล้วมาไว้บนเขียง แล้วตักไส้ที่ผสมไว้ใส่ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ตามด้วยวุ้นเส้นหั่นท่อน ข้าวโพดอ่อน เห็ดเข็มทอง ต้นหอม แคร์รอต และกุ้ง จากนั้นก็ม้วนผักกาดขาวแล้วห่อไส้ให้แน่นโดยเปิดด้านหนึ่งไว้ ทำใส่จานจนหมด เตรียมไว้

– ตั้งหม้อน้ำลังถึงบนไฟกลางให้พอเดือด แล้วนำสุกี้โรลลงไปนึ่งประมาณ 10 นาที จนสุก

– จัดสุกี้โรลใส่จานเสิร์ฟพร้อมกับน้ำจิ้มสุกี้

| 2.ถั่วกรอบแก้ว
ถั่วกรอบแก้ว
วัตถุดิบและส่วนผสม
  • ถั่วลิสง
  • น้ำตาล
  • ผงโกโก้
  • เกลือ
  • น้ำเปล่า
  • งาขาว
วิธีทำ

– ตั้งไฟกลางแล้วนำผสมน้ำตาล น้ำเปล่า และผงโกโก้ ลงในกระทะ กวนให้ส่วนผสมเข้ากันจนข้มหนืด

– เมื่อส่วนผสมข้นได้ที่แล้ว ให้หรี่ไฟลงเป็นไฟอ่อน จากนั้นก็ใส่ถั่วลิสงลงไป ค่อย ๆ คนเบา ๆ จนแห้ง

– เมื่อส่วนผสมที่เคลือบถั่วในกระทะเริ่มแห้ง แล้วให้ใส่เกลือให้ทั่ว และปรับเป็นไฟกลาง คั่วต่อจนถั่วมีลักษณะเงา แล้วจึงใส่งาขาวลงไป

– ปรับเป็นไฟอ่อน แล้วคั่วต่อจนงาขาวติดดี จากนั้นก็ปิดไฟ นำไปพักในถาดจนหายร้อน แค่นี้ก็ถือเป็นอันเสร็จ

| 3.ขนมปังชุบไข่ทอด
ขนมปังชุบไข่ทอด
วัตถุดิบและส่วนผสม
  • ไข่ไก่
  • นมสด
  • เนย
  • เกลือ
  • น้ำมัน
วิธีทำ

– ขั้นตอนแรกให้หั่นขนมปังเป็น 4 ส่วน เตรียมเอาไว้

– ตอกไข่ใส่ถ้วย 3 ฟอง แล้วใส่นมสด 3 ช้อนโต๊ะ เกลือ 1 ช้อนชา และน้ำตาลทราย 1/2 ช้อนชา จากนั้นก็คนให้เข้ากัน

– นำขนมปังที่หั่นไว้ไปชุบกับไข่ให้ทั่ว จนกว่าไข่จะหมด

– ตั้งกระทะไฟกลาง ๆ ใช้กระดาษทิชชู่ชุบน้ำมันแล้วนำไปทาให้ทั่วกระทะ จากนั้นค่อยใส่เนยลงไป

– ทอดจนขนมปังเป็นสีเหลืองออกน้ำตาล ๆ ทั่วแผ่น แค่นี้ก็ถือเป็นอันเสร็จ สามารถทานกับน้ำผึ้งหรือนมข้นก็เข้ากัน หรือใครจะทานคู่กับช็อคโกแลต แยม เนยถั่ว ซอสมะเขือเทศ มายองเนสก็จะได้รสชาติที่ดีเช่นกัน

| 4.มันฝรั่งเกลียวทอด
มันฝรั่งเกลียวทอด
วัตถุดิบและส่วนผสม
  • มันฝรั่ง
  • ผงปรุงรสรสต่าง ๆ ตามชอบ
  • เชสด้าชีส
  • แป้งข้าวโพด
  • นมข้นจืด
  • น้ำเปล่า
วิธีทำ

– ขั้นตอนแรกให้ตั้งหม้อแล้วเปิดไฟ ใส่ชีส แป้งข้าวโพด แล้วเติมนมข้นจืดตาม จากนั้นก็คนให้เข้ากันจนชีสละลายดี และปิดไฟยกขึ้นจากเตา เตรียมไว้

– ปอกเปลือกมันฝรั่ง แล้วใช้เกลียวเจาะตรงกลางของมันฝรั่ง หมุนให้เกลียวนั้นลงไปให้สุดแล้วหมุนให้มันฝรั่งเป็นเกลียว จากนั้นนำมาเสียบกับไม้พักไว้

– นำแป้งทอดกรอบผสมน้ำเปล่า คนให้เข้ากันแล้วนำไปราดบนมันฝรั่งที่เสียบไม้เตรียมไว้

– ตั้งกระทะเปิดไฟเทน้ำมันลงไป รอให้น้ำมันร้อน เมื่อน้ำมันร้อนแล้วก็นำมันฝรั่งเกลียวลงทอดให้เหลืองกรอบ และตักขึ้นพักไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน

– นำมันฝรั่งเสียบไม้มาโรยด้วยผงปรุงรสต่าง ๆ ตามใจชอบ แล้วราดด้วยชีสดิปที่เตรียมไว้

| 5.ปอเปี๊ยะทอดไส้หมูสับวุ้นเส้น
ปอเปี๊ยะทอดไส้หมูสับวุ้นเส้น
วัตถุดิบและส่วนผสม
  • แผ่นโรตี
  • หมูบด
  • ไข่ขาว
  • วุ้นเส้นแช่น้ำ
  • รากผักชี กระเทียม พริกไทยดำ (ตำให้ละเอียด)
  • เห็ดหูหนู
  • กะหล่ำปลี
  • แคร์รอตซอย
  • ถั่วงอก
  • ซอสหอยนางรม
  • ซอสปรุงรส
  • น้ำตาลทราย
  • น้ำมันรำข้าว
  • น้ำมันพืช (สำหรับทอด)
วิธีทำ

– ขั้นตอนแรกนำน้ำมันรำข้าวใส่ลงไปในกระทะเล็กน้อย โดยใช้ไฟกลาง จากนั้นก็ใส่รากผักชี  กระเทียม และพริกไทยดำที่ตำไว้ลงไปผัดให้หอม

– ใส่หมูบดลงไปผัดจนสุกแล้วใส่วุ้นเส้นและเห็นหูหนูซอยตามลงไป ผัดให้เข้ากัน

– ปรุงรสด้วยซอสหอยนางรม ซอสปรุงรส และน้ำตาลทราย จากนั้นก็ผัดต่อจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี

– ใส่ผักกะหล่ำปลี แคร์รอต และถั่วงอกลงไปผัดให้ทุกอย่างเข้ากัน แล้วตักใส่จานวางพักไว้

– เตรียมแป้งโรตี ให้แผ่แผ่นแป้งแล้วใส่ไส้ที่เราผัดเตรียมไว้ลงไป จากนั้นก็เกลี่ยให้อยู่ริมขอบของแป้ง แล้วจัดการม้วนปิดทุกด้านเพื่อไม่ให้ไส้ไหลทะลักออกมา

– ในส่วนของแผ่นแป้งที่จะประกบด้านสุดท้ายนั้นให้ทาไข่ขาวเพื่อเป็นกาวเชื่อมติดกัน

– ตั้งกระทะใส่น้ำมันให้ท่วม รอจนน้ำมันร้อนแล้วใส่ปอเปี๊ยะลงไปทอดให้เหลืองกรอบ

– เมื่อทอดจนสุกแล้วก็ตักขึ้นมาพักไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน เสิร์ฟคู่กับน้ำจิ้มหวานหรือน้ำจิ้มบ๊วยก็ได้

               ทั้ง 5 เมนูอาหารว่างทำขายง่าย ๆ นี้เป็นเมนูอาหารที่คนนิยมซื้อมารับประทานเป็นอย่างมาก เพราะเป็นอาหารที่มีรสชาติอร่อย ทานง่าย และสะดวกต่อการซื้อกลับไปรับประทานที่บ้านด้วย โดยทั้ง 5 เมนูนี้ถือว่าเป็นอาหารว่างที่สามารถทำขายได้ง่าย ๆ เลย วิธีทำนั้นไม่ได้ยากมาก ใครที่มีแนวคิดจะขายอาหารว่างก็ลองนำ 5 เมนูนี้ไปพิจารณาดูได้ค่ะ

READ MOREREAD MORE
เมนูอาหารว่างง่าย ๆ สไตล์ไทย

เมนูอาหารว่างง่าย ๆ สไตล์ไทยเมนูอาหารว่างง่าย ๆ สไตล์ไทย

เมนูอาหารว่างง่าย ๆ สไตล์ไทย
เมนูอาหารว่างง่าย ๆ สไตล์ไทย

               ของว่างถือว่าเป็นอาหารชนิดหนึ่งที่หลาย ๆ คนชอบทำเอาไว้ทานเวลาหิว แต่ไม่ใช่อาหารที่ไว้ทานเป็นมื้อหลักเหมือนมื้อเช้า มื้อกลางวัน หรือมื้อเย็น แต่เป็นอาหารที่ทำไว้ทานเล่นในขณะที่เราทำงาน หรือทำกิจกรรมอื่น ๆ เมื่อมีความรู้สึกหิวก็สามารถนำของว่างเหล่านั้นมาทานเล่นได้นั่นเอง ในวันนี้เราจะมาแนะนำเมนูอาหารว่างง่าย ๆ ที่สามารถทำเองได้ไม่ยากเลย แต่ต้องบอกก่อนว่าเมนูต่อไปนี้จะเป็นเมนูอาหารว่างง่าย ๆ สไตล์ไทย ๆ ที่บางคนอาจจะคุ้นเคยและเคยทานมาบ้างแล้ว แต่บางคนอาจจะยังไม่เคยทานเลย เพราะเป็นเมนูอาหารไทยโบราณที่อยู่มาอย่างยาวนานนั่นเอง จะมีเมนูใดบ้างไปดูกันเลย

| 1.ดอกกุ้งทอด
ดอกกุ้งทอด
วัตถุดิบและส่วนผสม
  • ขนมปังแซนวิช
  • เนื้อกุ้งขาวสับ
  • มันหมูแข็งหั่นชิ้นเล็ก ๆ
  • ไข่เป็ด
  • ผักชี
  • พริกชี้ฟ้าแดงซอย
  • สามเกลอ
  • น้ำมันพืช
  • แป้งข้าวโพด
  • เกลือทะเล
วิธีทำ

– ขั้นตอนแรกนำเนื้อกุ้งขาวสับมาหมักกับสามเกลอ เกลือทะเล แป้งข้าวโพด มันหมูแข็ง คลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วพักไว้

– นำขนมปังแซนวิชมาแล้วนำพิมพ์รูปดอกไม้มากดทับเพื่อให้ได้ขนมปังรูปดอกไม้ จากนั้นนำไปผึ่งลมหรือตากแดดสัก 1 แดด เพื่อไล่ความชื้นออกเวลาทอดจะได้ไม่อมน้ำมัน

– เสร็จแล้วนำเนื้อกุ้งขาวสับที่หมักไว้มาทาลงบนขนมปังรูปดอกไม้ และนำใบผักชีมาตกแต่งหน้า ตามด้วยพริกชี้ฟ้าแดงซอย

– นำตัวดอกกุ้งมาชุบกับไข่เป็ดแล้วลงทอดในกระทะ พยายามพลิกกลับด้านเพื่อกันไม่ให้ไหม้

– จัดเสิร์ฟพร้อมกับน้ำจิ้มอาจาด

| 2.กรอบเค็ม
ขนมกรอบเค็ม
วัตถุดิบและส่วนผสม
ส่วนผสมของแป้ง
  • แป้งสาลี
  • ไข่ไก่ (ใช้เฉพาะไข่แดง)
  • หัวกะทิ
  • น้ำปูนใส
  • เกลือป่น
ส่วนผสมของน้ำตาลเคลือบ
  • น้ำตาลปี๊บ
  • น้ำตาลทราย
  • น้ำปลา
  • น้ำเปล่า
  • สามเกลอ
  • น้ำมันพืช
วิธีทำ

– เตรียมอ่างผสมแล้วนำของเหลวทุกอย่างผสมลงไป ได้แก่ ไข่แดง หัวกะทิ และน้ำปูนใส จากนั้นนวดให้ส่วนผสมทุกอย่างละเอียด

– หลังจากไข่แดง หัวกะทิ และน้ำปูนใสละลายเข้ากันแล้ว ค่อย ๆ ใส่ตัวแป้งสาลีลงไป และนวดแป้งไปเรื่อย ๆ จนเป็นก้อนแป้ง

– เมื่อแป้งจับตัวกันเป็นก้อนแล้วก็ใส่เกลือป่นลงไป ซึ่งเกลือจะช่วยชูรสของแป้งและทำให้กรอบขึ้น

– พอได้ตัวก้อนแป้งแล้วก็นำมาแบ่งส่วนแป้งมาไว้บนเขียง จากนั้นก็ใช้ไม้คลึงแป้งค่อย ๆ คลึงตัวแป้งให้เรียบเสมอกัน

– ระหว่างที่คลึงแป้งอยู่นั้นสามารถวอร์มน้ำมันลงกระทะได้ โดยให้ใช้ไฟอ่อนก่อน

– หลังจากที่ตัวแป้งเริ่มบางและมีความเสมอกันแล้วให้ใช้ตัวพิมพ์ลายสำหรับทำวุ้นเคาะลงในแป้งสาลีนิดหน่อย เพื่อป้องกันการติด

– ทำการตัดตัวแป้งกรอบเค็ม โดยตัดเป็นแนวเฉียง กะขนาดตามที่ต้องการ

– เมื่อน้ำมันในกระทะเริ่มร้อนแล้วก็หรี่มาใช้ไฟกลางแล้วนำแป้งกรอบเค็มลงไปทอดในกระทะ รอให้สุกกรอบเป็นสีเหลืองทอง จากนั้นก็ตักออกจากกระทะให้สะเด็ดน้ำมัน

– ทำตัวน้ำตาลเคลือบกรอบเค็ม โดยตั้งกระทะแล้ววอร์มเตาให้กระทะร้อน จากนั้นก็เทน้ำมันพืชลงไปและเร่งไฟ นำสามเกลอลงกระทะ ผัดให้หอมสักครู่

– พอสามเกลอเริ่มหอมแล้วให้ใส่น้ำตาลปี๊บลงไป ตามด้วยน้ำปลา น้ำตาลทราย และน้ำเปล่า เคี่ยวน้ำตาลเคลือบจนเหนียว

– เมื่อน้ำตาลเคลือบเหนียวแล้วให้หรี่ไฟลงแล้วนำตัวกรอบเค็มลงไปคลุกเบา ๆ จนน้ำตาลเริ่มเกาะตัวกรอบเค็มหมด จากนั้นก็ปิดไฟ แค่นี้ก็เป็นอันเสร็จ

| 3.ทองพลุไส้ไก่
ทองพลุไส้ไก่
วัตถุดิบและส่วนผสม
ส่วนผสมตัวแป้งทองพลุ
  • แป้งสาลี (ชนิดแป้งเค้ก)
  • เนยสด
  • ไข่ไก่
  • น้ำเปล่า
  • ผงฟู
  • เกลือป่น
  • กลิ่นวานิลลาชนิดน้ำ
  • น้ำมันพืช (สำหรับทอด)
ส่วนผสมไส้ไก่
  • สันในไก่บดหรือหั่นเล็ก ๆ
  • มันฝรั่งปอกเปลือกลวกหั่นเต๋าเล็ก ๆ
  • หอมใหญ่หั่นเต๋าเล็ก ๆ
  • ผงกะหรี่
  • ผงพริกปาปริก้า
  • เกลือป่น
  • น้ำตาลทราย
  • ซอสปรุงรสหรือซีอิ๊วขาว
  • นมข้นจืด (นมระเหย)
  • น้ำมันพืช (สำหรับผัด)
วิธีทำ

– นำแป้งมาผสมกับผงฟู ร่อนรวมกัน 1 ครั้ง

– ใส่น้ำ เกลือป่น เนย กลิ่นวานิลลา ตั้งไฟพอเดือดใช้ไฟกลาง

– ใส่แป้งและผงฟูที่ร่อนด้วยกันแล้วคนเร็ว ๆ ด้วยตะกร้อมือ พยายามอย่าให้แป้งเป็นเม็ด จากนั้นก็กวนจนแป้งกลิ้งได้และปิดไฟ

– พักแป้งให้คลายร้อนก่อน พออุ่นแล้วให้ใส่ไข่ไก่ทีละฟอง และคนให้เข้ากันจนเนื้อเนียนดี จากนั้นก็พักไว้

– ตั้งกระทะสองใบแล้วใส่น้ำมันพืชในปริมาณที่พอ ๆ กัน ใช้ไฟพอร้อน โดยใช้ไฟอ่อน ๆ พอให้น้ำมันร้อน ใช้ช้อนชา 2 คันตักแป้งตะล่อมให้เป็นลักษณะกลม ๆ ไม่ต้องแน่น

– นำแป้งลงทอดจนขนมมีสีเหลีองและลอยขึ้น ซึ่งตัวขนมนั้นจะมีลักษณะกลวง เบา จากนั้นก็ให้ตักขึ้นมาแล้วนำมาใส่อีกกระทะหนึ่งที่มีน้ำมันอยู่ โดยใช้ไฟกลาง-ไฟแรง เพื่อทอดให้ขนมมีสีเหลืองทอง เสร็จแล้วให้ตักขึ้นวางลงบนกระดาษซับมัน

– มาทำในส่วนของไส้ไก่ โดยให้ตั้งกระทะใช้ไฟอ่อน ๆ แล้วใส่น้ำมันพืชลงไป พอน้ำมันเริ่มร้อนแล้วก็ใส่เนื้อไก่ จากนั้นก็เริ่มใช้ไฟกลาง ตามด้วยหัวหอมใหญ่ ผัดจนสุกและหอม

– ใส่มันฝรั่งลงไป ตามด้วยเครื่องปรุงรส ที่เตรียมไว้ ผัดให้เข้ากันพอสุกและแห้ง เสร็จแล้วก็ยกลง

– เมื่อทุกอย่างเสร็จแล้วก็จัดเสิร์ฟ โดยสามารถรับประทานคู่กับน้ำหวาน น้ำเชื่อม น้ำผึ้ง เนย หรือแยม รวมถึงไส้ไก่ที่เตรียมไว้

| 4.หมูครองแครง
หมูครองแครง
วัตถุดิบและส่วนผสม
  • เนื้อหมูบด
  • มันหมูแข็งบด
  • รากผักชี กระเทียม และพริกไทยโขลก
  • ไข่ไก่
  • แป้งข้าวโพด
  • น้ำตาลปี๊บ
  • น้ำปลา
  • เกลือป่น
  • น้ำเปล่า เล็กน้อย
  • ผักชีเด็ดใบและพริกชี้ฟ้าแดงซอยเส้น
  • น้ำมันพืช (สำหรับทอด)
ส่วนผสมน้ำอาจาด
  • น้ำเปล่า
  • น้ำส้มสายชู
  • เกลือไทยป่น
  • น้ำตาลทราย
  • แตงกวา
  • หอมแดง
วิธีทำ

– เตรียมอ่างผสมใส่เนื้อหมูลงไปตามด้วยมันหมูบด ไข่ไก่ สามเกลอครึ่งหนึ่ง และแป้งข้าวโพด นวดให้เข้ากันแล้วพักไว้ในตู้เย็นประมาณ 30 นาที

– ตั้งกระทะสำหรับทอดแล้วเทน้ำมันลงไป เปิดไฟให้พอร้อนโดยหรี่เป็นไฟอ่อน นำหมูที่หมักไว้ใช้ช้อนสองคนปั้นเป็นก้อนกลม ๆ ขนาดเหรียญบาท แล้วนำลงไปทอดในกระทะ ค่อย ๆ กลับไปมา พอเหลืองแล้วตักขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำมัน

– ตั้งกระทะผัดสามเกลอกับน้ำมันพืชเล็กน้อย โดยเติมน้ำตาลปี๊บ น้ำปลา เกลือป่น และน้ำเปล่าเล็กน้อย พอละลายให้เหนียวเล็กน้อย นำหมูที่ทอดลงไปค่อย ๆ คลุกให้น้ำปรุงรสเคลือบเนื้อหมูจนหมด เสร็จแล้วก็ปิดไฟแล้วยกลงจากเตาพักไว้

– เตรียมหม้อเพื่อทำน้ำอาจาด โดยผสมน้ำตาลทราย น้ำส้มสายชู น้ำเปล่า และเกลือ คนให้เข้ากันจนละลาย และนำขึ้นตั้งไฟโดยใช้ไฟอ่อน-ไฟกลาง เมื่อเดือดสัก 10 นาที ก็ยกลงพักไว้ให้เย็น จัดเสิร์ฟคู่กับหมูที่เตรียมไว้

| 5.ช่อบุษราคัม
ช่อบุษราคัม
วัตถุดิบและส่วนผสม
ส่วนผสมแป้ง
  • แป้งข้าวเจ้า
  • แป้งท้าวยายม่อม
  • แป้งมัน (เพิ่มเป็นแป้งนวล 1/2 ถ้วย)
  • แป้งข้าวเหนียว
  • น้ำฟักทองหรือซุปฟักทอง+น้ำเปล่า
  • น้ำมันพืช
  • กระเทียมเจียว
  • กระเทียมสับละเอียด
ส่วนผสมไส้ไก่
  • เนื้อไก่สับละเอียด
  • รากผักชี
  • กระเทียม
  • หอมใหญ่สับละเอียด
  • น้ำตาลปี๊บ
  • น้ำตาลทราย
  • รากผักชี
  • น้ำปลา
  • เกลือ
  • พริกไทยป่น
  • น้ำมันพืช
วิธีทำ

– นำแป้งข้าวเจ้า แป้งมัน แป้งท้าวยายม่อม และแป้งข้าวเหนียวมานวดรวมกับน้ำฟักทอง โดยค่อย ๆ ใส่จนหมด แล้วใส่น้ำมันจากนั้นก็คนให้เข้ากัน

– นำไปกวนในกระทะทองเหลือง พอแป้งเริ่มจับตัวเป็นก้อนไม่ติดกระทะแล้วให้นำไปนวดกับแป้งนวล

– แบ่งแป้งเป็นก้อนเท่า ๆ กัน แผ่ใส่ไส้หุ้มให้มิด จับเป็นดอกโดยใช้แหนบจีบ

– นำไปนึ่งในลัง ปูใบตองทาน้ำมันประมาณ 5 นาที แล้วยกลง พรมด้วยน้ำมันกระเทียมเจียว

– มาทำในส่วนของไส้ไก่ โดยโขลกรากผักชี กระเทียม และพริกไทยให้ละเอียด

– ตั้งน้ำมันพอร้อนแล้วใส่รากผักชี กระเทียม และพริกไทยลงไปผัดให้หอม จากนั้นก็ใส่ไก่ หอมใหญ่ และผัดให้เข้ากัน

– ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาลปี๊บ น้ำตาลทราย และเกลือ พอแห้งแล้วชิมให้มีรสหวานเค็ม จากนั้นก็ยกลงทิ้งไว้ให้เย็น

– จัดเสิร์ฟกับผักกาดหอม และพริกขี้หนู หรือผักสลัด

               เมนูอาหารว่างทำง่าย ๆ สไตล์ไทย ๆ ทั้ง 5 เมนูนี้เป็นเมนูที่หลายคนอาจจะยังไม่เคยลองทาน แต่เมื่อเราบอกวิธีทำไปแล้วอยากจะให้ทุกคนลองไปทำทานกันดูนะคะ เพราะอาหารไทยของเรานั้นก็ไม่แพ้ชาติใดในโลกเลย ในประเทศไทยเราถือว่ามีวัตถุดิบที่หลากหลาย เราสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ ยังไงก็อย่าลืมนำเมนูอาหารว่างง่าย ๆ สไตล์ไทย ๆ ทั้ง 5 เมนูนี้ไปลองทำดูนะคะ ไม่แน่คุณอาจจะติดใจในรสชาติของขนมไทยโบราณก็เป็นได้

READ MOREREAD MORE
เมนูของหวานง่าย ๆ ทำเองได้

เมนูของหวานง่าย ๆ ทำเองได้เมนูของหวานง่าย ๆ ทำเองได้

เมนูของหวานง่าย ๆ ทำเองได้
เมนูของหวานง่าย ๆ ทำเองได้

               ขึ้นชื่อว่าของหวานใคร ๆ ก็ชอบใช่ไหมล่ะ วันนี้เราจะมาเอาใจคนที่ชอบทานของหวานเป็นพิเศษ ซึ่งเมนูที่เราจะมานำเสนอนั้นเป็นเมนูของหวานง่าย ๆ ทำเองได้ไม่ยาก โดยสามารถหาวัตถุดิบต่าง ๆ ทำที่บ้านได้อย่างสะดวกสบายเลย เพราะเมนูต่อไปนี้เป็นเมนูที่ใคร ๆ ก็ทำได้ ไม่รอช้ามาฝึกทำเมนูของหวานง่าย ๆ ทำเองได้กันดีกว่า

| 1.ช็อคบอล
ช็อคบอล
วัตถุดิบและส่วนผสม
  • ผงโกโก้
  • เนยสด
  • ไข่ไก่
  • นมข้นหวาน
  • นมข้นจืด
  • แป้งสาลีอเนกประสงค์
  • กลิ่นวานิลลา
  • ซอสช็อกโกแลต สำหรับเคลือบช็อคบอล
  • ช็อกโกแลตชิพ รูปหัวใจ
วิธีทำ

– ขั้นตอนแรกนำผงโกโก้ เนยสด และนมข้นหวาน มาผสมกันแล้วนำเข้าไมโครเวฟ โดยใช้เวลา 2 นาที พอให้เนยละลาย

– ใส่ไข่ไก่ลงไป ตามด้วยกลิ่นวานิลลา แป้งอเนกประสงค์ และนมข้นจืด จากนั้นก็คนให้เข้ากัน แล้วนำไปใส่ไมโครเวฟ 2 นาที เมื่อนำออกมาจะกลายเป็นเค้กช็อกโกแลต

– นำช้อนส้อมมายีเค้กให้ละเอียด แล้วใส่นมข้นหวาน และเนยสดลงไป จากนั้นก็ขยำให้เข้ากันจนปั้นเป็นก้อนได้

– ปั้นช็อกโกแลตเป็นก้อนกลม ๆ จากนั้นนำไปเคลือบด้วยซอสช็อกโลแลต แล้วนำไปกลิ้งบนช็อกโกแลตชิพรูปหัวใจ ถือเป็นอันเสร็จ

| 2.โกโก้หนึบ
โกโก้หนึบ
วัตถุดิบและส่วนผสม
  • นมข้นหวาน
  • ผงโกโก้หรือผงโอวัลติน
วิธีทำ

– ขั้นตอนแรกนำนมข้นหวานเข้าเตาไมโครเวฟ หรือจะใส่หม้อตั้งไฟก็ได้เช่นกัน 800w/30 วินาทีเพื่อที่ผงโกโก้จะได้ละลายง่าย

– ทำการร่อนผงช็อคโกแลตลงในนมข้นหวาน โดยค่อย ๆ ร่อน และแบ่งการร่อนสลับกับคนให้เข้ากันประมาณ 3-4 รอบ

– หลังจากที่ช็อคโกแลตเริ่มหนืดแล้วให้สวมถุงมือ แล้วมาคลุกเคล้าทุกอย่างให้เข้ากัน พยายามใช้มือนวด เพราะอาจจะทำให้โกโก้นั้นติดนิ้วเราได้

– เสร็จแล้วก็จะได้โกโก้หนึบ ๆ จากนั้นก็ปั้นเป็นทรงสี่เหลี่ยมเพื่อรอตัดในภายหลัง

– ใช้พลาสติกรองและคลุมทับ จากนั้นก็นำไปแช่ในตู้เย็นให้เซ็ตตัวประมาณ 1 ชั่วโมง

– 1 ชั่วโมงผ่านไปให้นำโกโก้หนึบมาวางบนผงโกโก้ที่เราเตรียมไว้ แล้วโรยด้านบน

– ทำการตัดแบ่งเป็นชิ้นตามขนาดที่ต้องการ เสร็จแล้วมาปั้นเป็นก้อนกลม หรือรูปทรงต่าง ๆ ตามที่ต้องการได้เลย จากนั้นก็ไปคลุกกับผงโกโก้ต่อ แค่นี้ก็ถือเป็นอันเสร็จ

| 3.นมสดทอด
นมสดทอด
วัตถุดิบและส่วนผสม
  • แป้งข้าวโพด
  • นมสด
  • เนยก้อน
  • ไข่ไก่สด
  • ขนมปังป่น
  • น้ำตาลทราย
  • น้ำตาลไอซ์ซิ่ง (สำหรับโรยหน้าขนม)
  • น้ำมันพืช
วิธีทำ

– ขั้นตอนแรกตั้งหม้อแล้วเปิดไฟ จากนั้นผสมนมกับน้ำตาลทรายให้เข้ากัน แล้วกวนโดยใช้ไฟกลาง

– นำนมอีกส่วนมาละลายกับแป้งข้าวโพดให้เข้ากัน เมื่อละลายเข้ากันดีแล้วก็เทลงไปในหม้อที่ใส่นมกับน้ำตาล จากนั้นก็คนไปเรื่อย ๆ อย่าหยุดมือ โดยให้ใช้ไฟอ่อน ทำไปเรื่อย ๆ จนสุกและใส

– ใส่เนยก่อนยกลงจากเตา แล้วคนให้เข้ากัน จากนั้นก็เทใส่ถาดก้นแบนแล้วเกลี่ยให้เรียบ พักไว้ให้เย็น

– นำเข้าตู้เย็นประมาณ 3 ชั่วโมงหรือจนกว่าจะแข็งได้ที่

– เมื่อนมสดแข็งแล้วให้นำออกจากตู้เย็น แล้วใช้มีดจ่มน้ำและตัดออกเป็นชิ้นสี่เหลี่ยม จากนั้นก็ชุบไข่ตามด้วยเกล็ดขนมปังป่น โดยให้ชุบไข่แล้วเอาไปชุบเกล็ดขนมปัง 2 รอบ

– นำไปทอดจนเหลืองกรอบแล้วตักขั้น จากนั้นก็นำไปจัดใส่จานโรยหน้าด้วยน้ำตาลไอซ์ซิ่ง แค่นี้ก็ถือเป็นอันเสร็จ

| 4.โมจิหยดน้ำ
โมจิหยดน้ำ
วัตถุดิบและส่วนผสม
  • น้ำ
  • ผงวุ้นญี่ปุ่น
  • น้ำตาลทราย
  • ผงถั่วคินาโกะ (ตามชอบ)
 ส่วนผสมของน้ำเชื่อม
  • น้ำตาลทรายแดง
  • น้ำ
วิธีทำ

– ขั้นตอนแรกนำน้ำตาลทรายมาผสมกับผงวุ้นให้เข้ากัน แล้วคลุกเคล้าให้เข้ากัน

– ต้มน้ำ 300 มิลลิลิตร ให้พออุ่นแล้วใส่ผงวุ้นที่ผสมน้ำตาลไว้ลงไป จากนั้นก็คนให้ละลายจนหมด ต้มไปเรื่อย ๆ จนเดือด มีฟองอากาศที่ก้นหม้อและขอบ ๆ จากนั้นก็ปิดเตาพักไว้

– รอให้วุ้นเย็น แล้วเทใส่พิมพ์ทรงกลมแช่ตู้เย็นไว้ประมาณ 3-4 ชั่วโมง จนเซ็ตตัว

– มาทำในส่วนของน้ำเชื่อม โดยใส่น้ำตาลทรายแดงและน้ำลงในหม้อต้มจนน้ำตาลละลาย จากนั้นเคี่ยวให้พอข้น และปิดไฟนำขึ้น

– เมื่อวุ้นเซ็ตตัวแล้วให้นำไปใส่จานไว้ แล้วตักน้ำเชื่อมและผงถั่วคินาโกะไว้ด้านข้างเสิร์ฟคู่กัน

| 5.เค้กไมโลลาวา
เค้กไมโลลาวา
วัตถุดิบและส่วนผสม
  • ผงไมโล
  • นมสดรสจืดหรือรสอื่น ๆ
  • ไข่ไก่
  • แป้งสาลีอเนกประสงค์
  • น้ำมันพืช
วิธีทำ

– ขั้นตอนแรกใส่ผงไมโล 3 ช้อนโต๊ะพูน นมสดรสจืด 2 ช้อนโต๊ะ ไข่ไก่ 1 ฟอง และน้ำมันพืช 1ช้อนโต๊ะ จากนั้นคนให้เข้ากัน

– เติมแป้งสาลีอเนกประสงค์ 4 ช้อนโต๊ะ โดยปาดหน้าช้อนด้วยไม้พาย และคนให้เข้ากัน

– เตรียมพิมพ์โดยทาน้ำมันพืชลงบนพิมพ์ แล้วเทส่วนผสมลงไป

– ต้มน้ำให้เดือด แล้วนำไปนึ่งอย่างน้อยประมาณ 3:30-4 นาที

– ทำการแกะพิมพ์ออกแล้วนำมาแต่งหน้าเค้กด้วยผงไมโล แค่นี้ก็เป็นอันเสร็จ

               เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับเมนูของหวานง่าย ๆ ทำเองได้ที่เราแนะนำไป ต้องบอกว่าเป็นเมนูของหวานของโปรดของใครหลาย ๆ คนเลยล่ะค่ะ เพราะทั้ง 5 เมนูของหวานนี้เป็นเมนูยอดฮิตที่ใคร ๆ ไปที่ร้านก็ต้องสั่งมารับประทานกัน แต่ในวันนี้เราได้บอกวิธีทำให้แล้ว หวังว่าหลาย ๆ คนจะสามารถนำไปทำตามได้นะคะ

READ MOREREAD MORE
ฟักทองทานมากไม่ดีจริงหรือไม่

ฟักทองทานมากไม่ดีจริงหรือไม่ฟักทองทานมากไม่ดีจริงหรือไม่

ฟักทองทานมากไม่ดีจริงหรือไม่

ฟักทองทานมากไม่ดีจริงหรือไม่

ฟักทองทานมากไม่ดีจริงหรือไม่

               ฟักทองนั้นถือว่าเป็นผักชนิดหนึ่งที่ให้คุณประโยชน์มากมายเลยแหละค่ะ อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่าฟักทองนั้นสามารถนำมาประกอบอาหารได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะนำไปทำเป็นอาหารคาวหรือจะนำไปทำเป็นอาหารหวานก็ได้เช่นกัน แต่จะมีใครรู้บ้างไหมคะว่าฟักทองนั้นก็มีโทษเช่นกัน ถ้าเกิดว่าเราทานในปริมาณที่เยอะเกินไป และฟักทองทานมากไม่ดีจริงหรือไม่ เรามาหาคำตอบกันค่ะ

ลักษณะของฟักทอง

               ผลของฟักทองนั้นถ้าอยู่ในช่วงที่ผลยังอ่อนอยู่จะมีสีเขียว และมีเนื้อที่สวยงาม แต่ถ้าแก่ได้ที่แล้วจะมีสีเขียวผสมเหลือง มีผิวที่เป็นลักษณะขรุขระ และมีเปลือกแข็ง เมื่อปอกเปลือกออกแล้วเนื้อข้างในจะมีสีเหลือง หรือบางลูกอาจจะมีสีเหลืองอมส้ม ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับพันธุ์ของฟักทองด้วยค่ะ

 ประโยชน์ของการทานฟักทอง

1.ฟักทองเป็นหนึ่งในผักที่มีสีเหลืองออกส้ม ที่ช่วยบำรุงและรักษาสายตา

2.ช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกายได้

3.ลดระดับน้ำตาลในเลือด ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และยังป้องกันโรคเบาหวานอีกด้วย

4.มีไขมันและน้ำตาลน้อย และมีพลังงานต่ำ สามารถช่วยลดน้ำหนักได้

5.มีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง

6.ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เต่งตึง ชุ่มชื่น ชะลอรอยเหี่ยวย่น

7.เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย

8.ป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือด และหัวใจ

9.ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างปกติ

รับประทานเมล็ดฟักทองอย่างไรให้ปลอดภัย

               การรับประทานเมล็ดฟักทองในปริมาณปกติไม่น่าจะก่อให้เกิดอันตราย แต่การรับประทานมาก ๆ โดยหวังว่าจะใช้ช่วยรักษาโรคใด ๆ นั้น มีข้อพึงระวังดังนี้

               แม้เมล็ดฟักทองมีเส้นใยอาหารสูง ช่วยเพิ่มการขับถ่ายและลดอาการท้องผูกในระยะยาว  แต่หากรับประทานมากเกินไปอาจส่งผลข้างเคียงให้เกิดแก๊สในกระเพาะและมีอาการท้องอืดหรือหากรับประทานเป็นปริมาณมากในคราวเดียวก็อาจมีอาการท้องผูก

               เมล็ดฟักทองมีไขมันและแคลอรี่สูง การรับประทานมากเกินไปอาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้เพื่อความปลอดภัย หญิงที่ตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตรไม่ควรรับประทานเมล็ดฟักทองในปริมาณมากผิดปกติ เพราะยังไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาตร์ที่สามารถรับรองความปลอดภัยได้อย่างแน่ชัด

โทษของการทานฟักทองในปริมาณที่มากเกินไป

 ฟักทองมีฤทธิ์อุ่นจึงไม่เหมาะกับคนที่มีกระเพาะร้อน ซึ่งคนที่มีกระเพาะร้อนจะมีอาการดังต่อไปนี้

1.กระหายน้ำ

2.มีกลิ่นปากที่เหม็น

3.หิวง่าย

4.ปัสสาวะเหลือง

5.เป็นแผลในช่องปาก

6.ท้องผูก

7.เหงือกบวม

               คนที่มีอาการเหล่านี้จัดว่าเป็นคนที่มีกระเพาะร้อน ซึ่งไม่เหมาะกับการทานฟักทองเป็นอย่างมาก เพราะอย่างที่บอกว่าฟักทองนั้นเป็นผักชนิดหนึ่งที่มีฤทธิ์อุ่น ถ้าเกิดว่าทานไปก็จะทำให้ไปกระตุ้นร่างกายให้ร้อนขึ้น และคนที่เป็นโรคเกี่ยวกับกระเพาะอาหารก็ไม่ควรที่จะทานฟักทอง เพราะจะทำให้ท้องอืด ท้องเฟ้อ เมื่อทานเข้าไปแล้วจะทำให้รู้สึกไม่สบายท้องขึ้นมา และไม่ใช่แค่คนที่มีอาการเหล่านี้เท่านั้นนะคะ คนปกติทั่วไปที่ไม่ได้มีกระเพาะร้อน การทานฟักทองมากไปก็จะส่งผลเสียต่อร่างกายเช่นกัน เพราะฟักทองจะให้คุณประโยชน์กับเราก็ต่อเมื่อเรารู้จักทานให้ถูกวิธี ทานในปริมาณที่พอดี ก็จะช่วยเพิ่มสารอาหารที่มีคุณค่าให้แก่ร่างกาย แต่ถ้าทานมากไปก็จะให้โทษแก่ร่างกาย ทำให้ท้องอืด ท้องเฟ้อได้ อีกทั้งถ้าทานฟักทองบ่อยจนเกินไปก็จะทำให้ผิวของเรามีสีเหลืองอีกด้วย ดังนั้นเราควรทานฟักทองในปริมาณที่พอเหมาะพอดี ทานอาหารให้หลากหลาย เราก็จะมีสุขภาพที่ดีขึ้นเองค่ะ ส่วนคนที่มีกระเพาะร้อนนั้นเราไม่แนะนำให้ทานจะดีกว่านะคะ หรือถ้าจะทานก็ควรทานในปริมาณที่น้อยกว่าคนปกติทั่วไป

               ทราบกันแล้วใช่ไหมคะว่าฟักทองนั้นก็มีทั้งคุณและโทษ สำหรับใครที่เคยมีคำถามว่าฟักทองทานมากไม่ดีจริงหรือไม่ ตอนนี้คงได้คำตอบแล้วนะคะ การรับประทานอะไรก็ตามเราควรที่จะศึกษาสรรพคุณหรือประโยชน์ของอาหารเหล่านั้นให้ดีก่อน เพราะบางอย่างเราคิดว่าดีเราก็ทานในปริมาณที่เยอะ บางทีเยอะไปก็จะยิ่งส่งผลเสียให้กับร่างกายของเรา ดังนั้นก่อนจะทานอะไรควรศึกษาหาข้อมูลก่อนให้ดีก่อน และที่สำคัญควรทานในปริมาณที่ไม่มากจนเกินไปจะดีที่สุดค่ะ

READ MOREREAD MORE
ประโยชน์ของกล้วย

ประโยชน์ของ “กล้วย” และข้อควรระวังที่ไม่ควรมองข้ามประโยชน์ของ “กล้วย” และข้อควรระวังที่ไม่ควรมองข้าม

ประโยชน์ของ "กล้วย" และข้อควรระวังที่ไม่ควรมองข้าม

ประโยชน์ของกล้วย

ประโยชน์ของ “กล้วย” และข้อควรระวังที่ไม่ควรมองข้าม

               กล้วยเป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่ใคร ๆ ก็ทราบกันดีว่าเป็นอาหารที่มีคุณประโยชน์ที่หลากหลาย การทานกล้วยทำให้เราได้รับสารอาหารดี ๆ มากมายเลยแหละค่ะ เพราะในกล้วยจะประกอบไปด้วยใยอาหารต่าง ๆ ที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกาย ทำให้สุขภาพของเราดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม มีข้อดีก็มักจะมีข้อเสียตามมา ประโยชน์จากการทานกล้วยนั้นมีอยู่มาก แต่ถ้าเกิดว่าไม่รู้จักทานก็อาจจะก่อให้เกิดผลเสียกับร่างกายของเราได้เช่นกัน ดังนั้นวันนี้เราจะมาให้ความรู้กับทุกคนเกี่ยวกับประโยชน์ของกล้วย และข้อควรระวังที่ไม่ควรมองข้ามกันค่ะ

ประโยชน์ของกล้วย

               กล้วยเป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่กล้วยจริง ๆ เพราะแค่ปอกเปลือกออกก็สามารถทานได้เลย และก็ยังสามารถนำไปทำของหวานได้อีกมากมายเลยทีเดียวค่ะ ซึ่งกล้วยนั้นมีราคาที่ไม่แพงมาก และก็ยังหาซื้อได้ง่ายอีกด้วย นอกจากนี้กล้วยยังเป็นผลไม้ที่มีสรรพคุณมากมาย สามารถบำรุงและรักษาอาการต่าง ๆ ได้ อีกทั้งยังสามารถใช้กล้วยในการลดน้ำหนักได้ด้วยค่ะ แล้วกล้วยมีประโยชน์อย่างไรบ้างไปดูกันเลย

               1.แก้อาการนอนไม่หลับ สารอาหารอย่างโปรตีน ทริปโตเฟน ที่อยู่ในกล้วยมีส่วนช่วยในการผลิตสารเซโรโทนิน เมื่อรับประทานแล้วจะทำให้รู้สึกผ่อนคลายและหลับสบายด้วยค่ะ

               2.บรรเทาโรคกระเพาะอาหาร สารเซโรโทนินที่อยู่ในกล้วยน้ำว้าจะช่วยให้กระเพาะอาหารหลั่งเมือกออกมาปกคลุม ทำให้กรดไม่สามารถกัดกระเพาะได้นั่นเองค่ะ

               3.บรรเทาอาการของโรคริดสีดวงทวาร และมะเร็งลำไส้ ในกล้วยน้ำว้ามีกากใยสูงทำให้บรรเทาอาการเหล่านี้ได้ เมื่อทานกล้วยน้ำว้าแล้วจะส่งผลให้มีอุจจาระที่นุ่มขึ้น และยังมีฤทธิ์ที่สามารถป้องกันโรคมะเร็งลำไส้อีกด้วย

               4.แก้อาการท้องเสีย ในกล้วยน้ำว้าจะอุดมไปด้วยสารแทนนินที่ช่วยรักษาอาการท้องเสียได้ ใครที่ท้องเสียลองใช้กล้วยรักษาดูนะคะ นอกจากจะช่วยสมานแผลแล้ว ยังช่วยให้อาการท้องเสียดีขึ้นอีกด้วยค่ะ

                5.รักษาโรคโลหิตจาง กล้วยน้ำว้าอุดมไปด้วยธาตุเหล็กสูง เมื่อรับประทานแล้วจะส่งผลให้ช่วยในการผลิตฮีโมโกลบินในเลือด ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการของโรคโลหิตจางได้ค่ะ

               6.ช่วยชะลอความแก่ แน่นอนว่าในกล้วยนั้นจะอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยชะลอความแก่ได้ ใครที่ไม่อยากแก่ไวก็ให้ทานกล้วยเป็นประจำเลยค่ะ

                7.ช่วยลดน้ำหนัก กล้วยน้ำว้าสามารถปรับระดับน้ำตาลในเลือดได้ และยังมีกากใยสูงอีกด้วย ซึ่งจะทำให้เราอิ่มง่ายด้วย จึงช่วยให้เราทานอย่างอื่นได้น้อยลง

 ข้อควรระวังที่ไม่ควรมองข้ามในการทานกล้วย

               1.การรับประทานกล้วยน้ำว้าในปริมาณที่มากเกินไปจะทำให้มีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และแน่นท้องได้ง่าย เพราะในกล้วยนั้นมีสารที่ชื่อแทนนิน เมื่อทานในปริมาณที่มากจะทำให้ปวดท้องได้เช่นกัน ดังนั้นควรทานในปริมาณที่พอเหมาะพอดี

               2.ในกล้วยสุกนั้นจะมีฤทธิ์ที่ช่วยในการระบาย ซึ่งถ้าหากเราทานกล้วยอย่างต่อเนื่อง โดยไม่หยุดก็จะทำให้เราท้องเสียได้ด้วย ต้องบอกว่ากล้วยนั้นสามารถรักษาอาการท้องเสียได้ แต่ในขณะเดียวกันถ้าทานมากไปก็อาจจะส่งผลเสียแก่ร่างกายของเราได้เช่นกันค่ะ

               3.กล้วยเป็นผลไม้ที่ให้พลังงานสูงมาก ๆ เลยค่ะ โดยเฉพาะกล้วยน้ำว้าที่ให้พลังงานมากกว่ากล้วยชนิดอื่น ซึ่งหนึ่งผลนั้นจะให้พลังงานถึง 100 กิโลแคลอรีเลยทีเดียว ซึ่งถือว่าเยอะมาก ถ้าทานมากก็มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วนได้เช่นกัน

                4.การทานกล้วยที่ผ่านการแปรรูป โดยเฉพาะขนมหวานต่าง ๆ จะส่งผลให้เกิดโรคเบาหวานได้ในที่สุด หากรับประทานมากเกินไป เพราะกล้วยที่ผ่านการแปรรูปนั้นมักจะเติมน้ำตาลเข้าไปในปริมาณที่มากพอสมควร ถ้าทานบ่อย ๆ จะมีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานได้นั่นเองค่ะ

               จะเห็นได้ว่าการรับประทานกล้วยนั้นให้ทั้งคุณและโทษจริง ๆ ค่ะ มันขึ้นอยู่ที่การรับประทานของเรา ถ้าเรารู้จักทานให้เหมาะสมก็จะทำให้เราได้รับประโยชน์ต่าง ๆ มากมาย แต่ถ้าเราไม่รู้จักทานก็อาจจะส่งผลเสียและเป็นโทษแก่ร่างกายของเราได้เช่นกัน ดังนั้นการทานกล้วยที่ดีให้ได้คุณประโยชน์ควรทานกล้วยที่เป็นผลสด และทานในปริมาณที่พอดีนั่นเองค่ะ

READ MOREREAD MORE