หมวดหมู่: สูตรขนม

เค้กลูกส้ม สูตรขนมเค้กมงคลจากผลไม้ความหมายดีในเทศกาลตรุษจีนเค้กลูกส้ม สูตรขนมเค้กมงคลจากผลไม้ความหมายดีในเทศกาลตรุษจีน

เค้กลูกส้ม สูตรขนมเค้กมงคลจากผลไม้ความหมายดีในเทศกาลตรุษจีน

เค้กลูกส้ม คือเค้กที่ดัดแปลงมาจาก เค้กส้มหน้านิ่ม ที่ทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดี โดยการเปลี่ยนรูปร่างให้คล้ายคลึงกับผลส้มเพิ่มความสวยงาม น่ารับประทานมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังถือว่าเป็น เบเกอรี่ ที่เหมาะกับการนำไปเป็นของขวัญ หรือของฝากเพื่อมอบให้กับคนสำคัญ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลตรุษจีน เนื่องจากส้มเปรียบได้กับผลไม้ประจำเทศกาลนี้เลยทีเดียว เพราะส้มในความหมายของจีนนั้นหมายถึงความมั่งคั่ง โชคดี เป็นมงคล

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำเค้กลูกส้ม เบเกอรี่ที่เหมาะจะเป็นของฝาก

ในบทความนี้เราจะขอตอบโจทย์ให้กับคนที่กำลังมองหาเบเกอรี่เพื่อมอบให้คนสำคัญในวันตรุษจีน ด้วย สูตรเค้กลูกส้ม ที่มีความหมายดี และขั้นตอนการทำไม่ยากเกินความสามารถ หากใครเคยทำเมนูเค้กแบบต่างๆ มาแล้วรับรองได้เลยว่าต้องทำ เค้กลูกส้มตรุษจีน ได้อย่างแน่นอน ดังนั้น เราไปดูวัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีการทำ เค้กลูกส้ม กันเลยค่ะ

วัตถุดิบทำเนื้อเค้ก

  1. แป้งเค้ก 100 กรัม
  2. ผงฟู 1 ช้อนชา
  3. ไข่ไก่ (เบอร์ 2) 4 ฟอง 
  4. น้ำตาลทรายขาว 120 กรัม
  5. น้ำมันพืช 55 กรัม
  6. น้ำเปล่า 30 กรัม
  7. กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา
  8. เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
  9. นมข้นจืด 50 กรัม
  10. เอสพี 9 กรัม

วัตถุดิบทำซอสรสส้ม

  1. น้ำเปล่า 500 กรัม
  2. น้ำส้มเข้มข้น 120 กรัม
  3. น้ำตาลทราย 120 กรัม
  4. แป้งข้าวโพด 35 กรัม
  5. เนยเค็ม 50 กรัม
  6. สีผสมอาหารสีส้มแดง

ขั้นตอนวิธีการทำเค้กลูกส้มสอดไส้

  1. ขั้นตอนแรกในการทำ เค้กลูกส้มเนื้อชิฟฟ่อน ให้เตรียมชามผสมแล้วร่อนแป้งเค้ก และผงฟูลงไปพักไว้ ก่อนจะเตรียมชามผสมอีกหนึ่งใบใส่ไข่ไก่ น้ำตาลทราย น้ำมันพืช น้ำเปล่า กลิ่นวานิลลา เกลือป่น และแป้งที่ร่อนเอาไว้ 
  2. เปิดเครื่องผสมอาหารตีด้วยสปีดต่ำพอให้ส่วนผสมเข้ากัน ต่อด้วยการใส่เอสพีบริเวณหัวตะกร้อแล้วตีต่อด้วยสปีดสูงสุดเป็นเวลา 4 นาที ใช้ไม้พายปาดรอบโถแล้วตีต่อด้วยสปีดเท่าเดิมอีก 2 นาที และใช้ไม้พายปาดอีกครั้งแล้วเปิดเครื่องตีความเร็วสูง 2 นาที พร้อมกับการทยอยใส่นมข้นจืดลงไป
  3. ใช้เนยขาวทาให้ทั่วพิมพ์ เค้กลูกส้ม และเตรียมถาดรองอบ รองพิมพ์รูปส้มด้วยพิมพ์วงกลมอีกทีเพื่อให้วางพิมพ์แบบตรงได้ จากนั้นนำแป้งเค้กใส่ลงไปประมาณ 2/3 ของพิมพ์รูปส้ม (ระหว่างนี้ให้วอร์มเตาอบรอ 10 นาที ด้วยอุณหภูมิ 170 องศา ไฟบนล่าง) 
  4. นำ ขนมเค้ก ของเราเข้าเตาอบด้วยอุณหภูมิ 170 องศา ไฟบนล่าง เป็นเวลา 30 นาที หรือจนกว่าแป้งจะสุกดี เมื่อครบเวลาแล้วให้นำมาคว่ำออกจากพิมพ์พักไว้
  5. ขั้นตอนต่อมาจะเป็นขั้นตอนการทำซอสส้ม โดยเริ่มจากการใส่น้ำเปล่า น้ำส้มเข้มข้น น้ำตาลทราย และแป้งข้าวโพดลงไปในกระทะ ใช้ตะกร้อมือคนให้เข้ากันแล้วใส่สีผสมอาหารลงไปเพิ่มสีสัน คนให้เข้ากันอีกครั้งแล้วเปิดเตาด้วยไฟอ่อน คนต่อจนส่วนผสมเริ่มมีความข้นใสขึ้นเงา ปิดเตาแล้วใส่เนยเค็มลงไปคนต่อจนกระทั่งซอสอุ่น
  6. นำซอสส้มใส่ถุงบีบก่อนจะเจาะรูตรงกลางของขนม และบีบไส้ใส่ลงไปให้ครบทุกลูก จากนั้นนำขนมไปวางไว้บนตะแกรงแล้วใช้ซอสราดให้ทั่ว เสร็จแล้วตกแต่งด้วยใบส้ม จัดเสิร์ฟได้เลยค่ะ

บทสรุป

เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับสูตรทำ เค้กลูกส้ม ที่เราได้นำมาบอกต่อกันในบทความนี้ นอกจากจะได้ เค้กลูกส้มมงคล แล้วยังได้ประโยชน์จากสารอาหารมากมายจากผลส้ม โดยเฉพาะวิตามินซีที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ และคุณประโยชน์อีกมากมายจากการทาน หากมอบเป็น ขนมของฝาก ก็ได้ใจผู้รับไปเต็ม ๆ จากความหมายดี ๆ ของผลไม้อย่างส้มที่เลือกใช้

 

 

 

 

 

เว็บบอล

READ MOREREAD MORE

แนะนำเมนูขนมไทย “วุ้นกะทิ” พร้อมสูตรวิธีการทำยอดนิยมแนะนำเมนูขนมไทย “วุ้นกะทิ” พร้อมสูตรวิธีการทำยอดนิยม

แนะนำเมนูขนมไทย “วุ้นกะทิ” พร้อมสูตรวิธีการทำยอดนิยม

วุ้นกะทิ สูตรตำหรับดั่งเดิม หอมหวานทำเองได้ไม่ยาก : @วาไรตี้ไทยสบาย

ในช่วงเวลาที่เราต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบชีวิตให้เข้ากับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโคโรน่าไวรัส ทำให้หลาย ๆ คนมีเวลาอยู่ที่บ้านกับครอบครัว หรือแม้แต่มีเวลาพักผ่อนอยู่บ้านกันมากขึ้น เราจึงขอชวนทุกคนมาทำกิจกรรมคลายเครียดจากการกักตัว และใช้เวลาว่างที่มีให้เป็นประโยชน์ โดยการทำขนมไทยง่าย ๆ ที่ทุกคนสามารถทำตามได้เอง เป็นเมนูขนมไทยยอดนิยมที่สามารถรังสรรค์ได้อย่างหลากหลาย และมีหลายสูตรให้เลือกทำได้ตามความชอบ นั้นก็คือ “วุ้นกะทิ

ทำความรู้จัก วุ้นกะทิ ขนมไทยที่มีความหลากหลาย

วุ้นกะทิ คือ ขนมหวานไทย ที่ได้รับความนิยมมาก ๆ ในปัจจุบัน สามารถพบเจอได้ทั่วไปตามตลาด และร้านขาย ขนมไทย สามารถปรับปรุงสูตรให้มีรูปร่าง ลักษณะ รสชาติ และสีสันได้หลากหลาย รังสรรค์ได้ตามใจชอบเลย ที่สำคัญขั้นตอนวิธีการทำง่ายมาก ใช้วัตถุดิบ และอุปกรณ์น้อย ยิ่งในยุคนี้มีพิมพ์วุ้นเข้ามาช่วยในการทำ ยิ่งทำให้สามารถทำได้หลากหลาย และสนุกมากยิ่งขึ้น จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่กลายเป็นที่ชื่นชอบของคนทุกเพศ ทุกวัย เด็กทานได้ ผู้ใหญ่ทานดีไปเลยค่ะ

สูตร วุ้นกะทิ แบบง่ายๆ พร้อมวิธีทำโดย Janeojane - Wongnai Cooking

ประวัติความเป็นมา

สำหรับเมนู วุ้นกะทิ เป็นหนึ่งในขนมไทยที่ได้รับการประยุกต์ปรับปรุงสูตรมาจากขนมของต่างประเทศ โดยท้าวทองกับม้า หรือราชินีขนมไทยที่ได้นำสูตรขนมต่าง ๆ มาสอนให้กับคนไทยจนกลายเป็น ขนมยอดนิยม มากมาย โดยเริ่มจากในช่วงที่การค้าขายกับต่างประเทศเจริญเฟื่องฟู จึงได้มีการนำเข้าวุ้นมาทำเป็นขนมในประเทศไทย แต่เดิมนั้นเป็น ขนมหวานชาววัง ที่มีทั้งความประณีต และละเอียดอ่อน ก่อนจะเผยแพร่มายังชาวบ้านให้ได้รู้จัก 

ความนิยมรับประทานวุ้นในประเทศไทย

แม้ว่า วุ้นกะทิโบราณ ในสมัยโบราณจะมีเพียงไม่กี่สูตร ยกตัวอย่างเช่น วุ้นมะพร้าว วุ้นกะทิ วุ้นสังขยา วุ้นไข่ ฯลฯ เมื่อเวลาผ่านไปก็ได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น จึงมีการทำวุ้นสูตรอื่น ๆ เพิ่มเข้ามามากมาย จนกระทั่งถึงปัจจุบันได้มีการเพิ่มสูตรขึ้นมาเยอะขึ้นเรื่อย ๆ จากความนิยม เช่น วุ้นกะทิหลากสี วุ้นกะทิใบเตย วุ้นกะทิอัญชัน และได้มีการทำกันอย่างแพร่หลายจนมีการเปิดการสอนทำขนมไทยในศูนย์ฝึกอาชีพ ชุมชน และหมู่บ้าน

2 สูตรวุ้นกะทิ ขนมไทยทำง่าย เลือกได้ตามความชอบ

หากใครที่ยังไม่มีเวลาว่างพอที่จะไปเรียนทำ วุ้นกะทิ เราก็ได้นำสูตรวิธีการ ทำขนมไทยง่าย ๆ มาแนะนำให้ได้ลองทำตาม แน่นอนว่าแต่ละสูตรเป็นสูตรที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย การันตีความอร่อย สามารถทำรับประทานเองได้ และทำขายสร้างรายได้ได้ด้วยเช่นกัน ดังนั้น อย่ารอช้าค่ะ เราไปดูสูตร วิธีทำวุ้นกะทิ ที่เราได้คัดสรรมาแล้วกันเลย

1.  สูตรวุ้นกะทิมะพร้าวอ่อน

วุ้นนมสดมะพร้าวอ่อน” – Recipe.com

สำหรับ วุ้นกะทิ สูตรแรกเป็นสูตรยอดนิยมที่หลาย ๆ คนชื่นชอบ เนื่องจาก วุ้นกะทิมะพร้าวอ่อน มีรสชาติหวาน ผสานความมันของกะทิ หอมกลิ่นมะพร้าว ระหว่างรับประทานจะสัมผัสดุถึงความนุ่ม และกรุบเนื้อมะพร้าว อร่อยแบบสุด ๆ ใครยังไม่เคยลองต้องลองรับประทานกันดูสักครั้งนะคะ รับรองว่าต้องติดใจจนต้องทำทานซ้ำกันแทบทุกราย ดังนั้น เราไปดูสูตรวิธีการ ทำขนมไทย ง่าย ๆ กันเลย

วัตถุดิบ

  1. น้ำมะพร้าวอ่อน 1000 มิลลิลิตร
  2. เนื้อมะพร้าวอ่อน 300 กรัม
  3. ผงวุ้นชนิด AA 3 ช้อนโต๊ะ
  4. น้ำเปล่า 300 มิลลิลิตร
  5. หัวกะทิ 1000 มิลลิลิตร
  6. น้ำตาลทรายขาว 280 กรัม
  7. เกลือป่น 1 ช้อนชา

ขั้นตอนวิธีทำวุ้นกะทิมะพร้าวอ่อน

  1. ขั้นตอนแรกเทผงวุ้นลงไปในน้ำเปล่า คนผสมให้เข้ากัน และพักไว้เป็นเวลา 15 นาที เมื่อครบเวลาแล้วให้เทลงไปในหม้อ ตามด้วยน้ำมะพร้าวอ่อน ต้มด้วยไฟกลาง ในระหว่างนี้ให้เคี่ยวตลอดเวลาจนกว่าผงวุ้นจะละลายดี จากนั้นใส่น้ำตาลทราย และเกลือป่นลงไปเคี่ยวต่อให้ละลายดีแล้วใส่เนื้อมะพร้าวอ่อนลงไปเคี่ยวต่อจนเดือด ให้ลดไฟลงเป็นไฟอ่อน และใส่หัวกะทิลงไปเคี่ยวสักครู่ พอเดือดที่ขอบหม้อแล้วให้ปิดเตาได้เลย
  2. เมื่อส่วนผสมได้ที่แล้วให้ยกลงไปเทใส่ถาดขนาด 10*10 นิ้ว (หากมีฟองอากาศลอยอยู่เหนือหน้าขนม ให้ช้อนฟองออกให้หมด) เสร็จแล้วพักไว้ในอุณหภูมิห้องเป็นเวลา 1 – 2 ชั่วโมง และนำมัดมาตัดให้เป็นชิ้นเล็กตามชอบ และนำออกจากพิมพ์มารับประทานได้เลยค่ะ

2.  สูตรวุ้นกะทิแฟนซี

วุ้นดอกไม้ มีขั้นตอนการทำยังไงบ้าง? [ครบถ้วนใน 5 นาที] - Agarmermaid

ต่อมาเป็นสูตร วุ้นกะทิ แฟนซี ที่อร่อยไม่แพ้วุ้นสูตรแรกเลยทีเดียว โดยเราจะพาทุกคนมาทำ วุ้นกะทิดอกไม้ น่ารัก ๆ ที่แม้ว่าหน้าตาจะสวยหรูดูแพง แต่ขั้นตอนการทำนั้นไม่ได้ยากเหมือนอย่างในอดีตที่ต้องอาศัยความประณีต บรรจงในการทำ โดยเรามีการนำเอา พิมพ์วุ้น เข้ามาช่วยให้การทำขนมครั้งนี้ง่ายยิ่งขึ้น ทุกคนสามารถเลือกแต่งเสริมเติมสีสันได้ตามชอบ

วัตถุดิบ

  1. กะทิ 250 มิลลิลิตร
  2. น้ำเปล่า 250 มิลลิลิตร
  3. ผงวุ้น 1/2 ช้อนโต๊ะ 
  4. น้ำตาลทราย 50 กรัม
  5. เกลือ 1/4 ช้อนชา 
  6. สีผสมอาหารตามชอบ
  7. พิมพ์ซิลิโคน รูปดอกไม้

ขั้นตอนวิธีทำวุ้นกะทิแฟนซี

  1. ขั้นตอนแรกใส่น้ำลงไปในหม้อ ตามด้วยผงวุ้น คนให้ส่วนผสมละลายเข้ากัน และพักไว้ 10 นาที เปิดเตาด้วยไฟกลางค่อนอ่อน ระหว่างนี้ให้คนตลอดเวลาเพื่อให้ผงวุ้นละลายดี หลังจากนั้นใส่น้ำตาลทราย เกลือ และกะทิลงไปคนเบา ๆ ให้ละลายเข้ากัน เมื่อเดือดที่ขอบหม้อแล้วให้ปิดเตา
  2. นำส่วนผสมที่เคี่ยวเสร็จแล้วมาแบ่งใส่ถ้วย ตามจำนวนสีที่เลือกใช้ จากนั้นใส่สีผสมอาหารลงไปคนให้เข้ากัน และตักหยอดลงไปในพิมพ์เป็นชั้นแรก เมื่อชั้นแรกเริ่มแห้งแล้วค่อยใส่ชั้นต่อ ๆ ไปได้ตามชอบ พักไว้เป็นเวลา 40 นาที ให้ผงวุ้นเซทตัว เสร็จแล้วนำออกจากพิมพ์มารับประทานได้เลย

บทสรุป

เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับ 2 สูตร วุ้นกะทิ ขนมไทยยอดนิยม ที่เราได้หยิบยกเอามาแนะนำกันในบทความนี้ ทำง่ายกว่าที่หลาย ๆ คนคิดใช่ไหมคะ และยังสามารถนำไปปรับใช้กับพิมพ์วุ้นรูปอื่น ๆ หรือแม้แต่เค้กวุ้นมอบให้กันในวันเกิดก็สามารถทำได้ด้วยเช่นกัน หากใครที่อยาก ทำขนมสนุก ๆ แนะนำเมนูนี้เลย หรือใครอยากทำ วุ้นกะทิ ขายก็สามารถนำไปทำได้ รับรองว่าทำทานง่าย ทำขายคล่องเลยค่ะ 

 

 

เว็บบอล

READ MOREREAD MORE

ขนมตาล สูตรขนมไทยพื้นบ้าน กลิ่นหอม เนื้อนุ่ม ฟู สีเหลืองนวลขนมตาล สูตรขนมไทยพื้นบ้าน กลิ่นหอม เนื้อนุ่ม ฟู สีเหลืองนวล

ขนมตาล สูตรขนมไทยพื้นบ้าน กลิ่นหอม เนื้อนุ่ม ฟู สีเหลืองนวล

ขนมไทย เป็นของหวานที่แสดงถึงเอกลักษณ์วัฒนธรรมประจำชาติของไทยได้เป็นอย่างดี และเป็นสิ่งที่ส่งต่อสูตรกันมาจากรุ่นสู่รุ่นตั้งแต่สมัยโบราณ ส่งต่อความอร่อยมาจนถึงปัจจุบัน ขนมไทยส่วนใหญ่จึงมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน และน่าสนใจ เหมาะแก่การเรียนรู้ ทำความรู้จักขนมไทยแต่ละชนิด ในบทความนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับ “ขนมตาล” ขนมไทยยอดนิยมอีกหนึ่งชนิด พร้อมสูตรวิธีการทำขนมไทยง่าย ๆ ที่ใช้วัตถุดิบจาก ลูกตาล ที่ทั้งอร่อย และมีประโยชน์

แนะนำ ขนมตาล ขนมไทยทำง่าย รสชาติดี 

หากคุณเป็นมือใหม่ที่กำลังอยากลองทำขนมด้วยตนเอง แนะนำให้เริ่มทำจาก ขนมไทยง่าย ๆ ก่อน แล้วค่อยเริ่มไปทำขนมไทยอื่น ๆ ที่ต้องใช้ความประณีต ละเอียดในการทำ ซึ่ง ขนมตาล ก็ถือเป็นขนมที่ตอบโจทย์ให้กับมือใหม่ เป็น ขนมไทยพื้นบ้าน ที่สามารถทำได้ง่าย ๆ ใช้วัตถุดิบ และอุปกรณ์ในการทำน้อย ได้รับความนิยมทำกันทั่วทุกภาคของประเทศไทย โดยเฉพาะจังหวัดเพชรบุรีที่มีการปลูกต้นตาลมากที่สุดในประเทศไทย แต่ก่อนที่จะไปลองทำนั้นเราจะขอแนะนำเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับ ขนมตาล นี้ให้ได้รู้จักกันก่อน

ประวัติความเป็นมาของขนมตาล

ความหมายของขนมตาล คือ ขนมไทยดั้งเดิมที่ทำมาจากผลตาล ไม่มีประวัติที่บอกถึงความเป็นมาว่า เกิดขึ้นเมื่อใด และใครเป็นผู้คิดค้นขึ้นมาเป็นคนแรก แต่ ขนมตาล ได้รับการยกย่องให้เป็นขนมขึ้นชื่อในสมัยสุโขทัยเลยทีเดียว ซึ่งในสมัยนั้นจะใช้ส่วนผสมหลักที่มีอยู่ทั่วไป คือ แป้งข้าวเจ้า น้ำตาล เนื้อตาล และมะพร้าว จนกระทั่งต่อมาได้มีการปรับเปลี่ยนสูตรใหม่ โดยชาวอยุธยา ได้มีการนำส่วนผสมของไข่ใส่เข้าไปด้วย และในปัจจุบันยังมีการใช้ สูตรขนมตาล ดังกล่าวนี้อยู่ 

หน้าตา เนื้อสัมผัส และรสชาติของขนม

 

สำหรับใครที่ยังไม่รู้จัก และไม่เคยรับประทาน ขนมตาล มาก่อนเลย ต้องบอกเลยว่ามีลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง แตกต่างจาก ขนมไทย ชิ้นอื่น ๆ นั้นก็คือ เป็นขนมชิ้นเล็กสีเหลืองเข้ม เนื้อนุ่ม ฟู ทำมาจากเนื้อตาลสุก ผสมกับแป้งข้าวเจ้า และกะทิ โรยหน้าด้วยเนื้อมะพร้าวทึนทึกขูดฝอย รสชาติหวาน กลิ่นของขนมตาล หอม เนื้อสัมผัสนุ่มลิ้น เข้ากันได้ดีกับเนื้อมะพร้าวหวานมัน แต่ในปัจจุบันหา ขนมตาล ที่รสชาติดีได้ยากมาก เพราะปริมาณการปลูกต้นตาลในประเทศไทยที่ลดลงเรื่อย ๆ จึงหาเนื้อตาลสดได้ยาก

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำขนมตาล

เราจะพาทุกคนไปทำ ของหวานไทย ง่าย ๆ ที่สามารถทำเองได้แบบไม่งง เพราะมีการบอกขั้นตอนตั้งแต่วิธีการเตรียมเนื้อตาลสุก ไปจนถึงขั้นตอนวิธีการทำ ขนมตาล ซึ่งเป็นสูตรที่เหมาะสำหรับมือใหม่ และมือฉมัง ทำทานได้ ทำขายก็สร้างรายได้เสริมได้ อย่ารอช้าค่ะ ไปเตรียมวัตถุดิบ และดูขั้นตอนการทำ ขนมไทยทำง่าย กันเลย

วัตถุดิบในการเตรียมเนื้อตาลสุก

  1. ลูกตาลสุก 2 ลูก
  2. น้ำสะอาดสำหรับล้างเนื้อตาล
  3. เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ

วัตถุดิบในการทำหน้ามะพร้าว

  1. แป้งข้าวเจ้า 300 กรัม
  2. เนื้อตาลยี 200 กรัม
  3. หัวกะทิ 600 กรัม 
  4. ยีสต์ 2 ช้อนชา
  5. ผงฟู 1+1/2 ช้อนชา
  6. น้ำตาลทรายขาว 300 กรัม
  7. เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
  8. เนื้อมะพร้าวทึนทึกขูดเส้น ปริมาณตามชอบ
ขั้นตอนวิธีเตรียมเนื้อตาลสด
  • ขั้นตอนแรกนำลูกตาลสด 2 ลูกไปล้างน้ำให้สะอาด จากนั้นดึงขั้วตาลออกแล้วใช้มีดปลอกเปลือก และใช้มือดึงเปลือกสีดำออกให้หมด ดึงแกนแข็ง ๆ หรือใจตาลออก (ส่วนนี้หากแยกออกไม่หมดจะทำให้เนื้อตาลมีรสขม และเฝื่อน) และแยกส่วนของผลตาลใส่ในชามผสม
  • ต่อมาเป็น วิธีล้างเนื้อตาล เติมน้ำใส่ลงไปให้ท่วม ตามด้วยเกลือ (ช่วยลดความขม และเฝื่อนของเนื้อตาล) จากนั้นใช้มือคั้น และยีให้เนื้อตาลออกมาได้มากที่สุด เสร็จแล้วนำไปกรองด้วยตะแกรงใส่ลงในภาชนะอีกหนึ่งใบ
  • นำเนื้อตาลในภาชนะที่ผ่านการกรองแล้ว มาเทใส่ผ้าขาวบางทบ 2 ชั้น รองด้วยตะแกรง และรองด้วยชามผสม ทำการรวบผ้าเข้าหากันแล้วมัดไว้ ทิ้งไว้ 1 คืน เพื่อให้น้ำที่ปนอยู่ในเนื้อตาลไหลออกมาให้หมด เมื่อรอจนครบเวลา วิธีเก็บเนื้อตาลที่ยีแล้ว ให้นำไปใส่ในบรรจุภัณฑ์ที่มีฝาปิด เพื่อนำไปเป็นวัตถุดิบในการทำขนมต่อไป

ขั้นตอนวิธีทำขนมตาล

  • ขั้นตอนแรกใส่หัวกะทิลงไปในหม้อ ตามด้วยน้ำตาลทราย และเกลือป่น เปิดเตาต้มด้วยไฟอ่อนให้ส่วนผสมละลายเข้ากัน เสร็จแล้วปิดเตานำไปพักไว้ให้เย็นสนิท
  • ผสมแป้งข้าวเจ้ากับยีสต์ให้เข้ากัน และใส่เนื้อตาลทั้งหมดที่เตรียมไว้ลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากันจนได้ลักษณะคล้ายเม็ดทราย จากนั้นทยอยใส่น้ำกะทิที่เตรียมไว้ลงไปนวดทีละนิด จนแป้งจับตัวเป็นก้อน และนวดต่อเป็นเวลา 30 นาที จนเนื้อแป้งเนียนได้ที่ และทยอยใส่น้ำกะทิที่เหลือลงไปละลายแป้งอีกครั้งให้เหนียวข้น จนกว่าน้ำกะทิที่เตรียมไว้จะหมด ใช้แผ่นฟิล์มถนอมอาหารห่อชามผสมแล้วพักแป้งไว้ในบริเวณที่มีแดดจัด เป็นเวลา 3 ชั่วโมง 
  1. เมื่อพักแป้งไว้จนครบเวลาแล้วให้ร่อนผงฟูใส่ลงไป ใช้ไม้พายคนผสมให้เข้ากัน พักไว้แล้วไปนึ่งถ้วยตะไลด้วยน้ำเดือดจัดเป็นเวลา 10 นาที จากนั้นคนแป้งเล็กน้อยก่อนจะหยอดแป้งลงไปให้เต็มถ้วยตะไล นำเนื้อมะพร้าวขูดฝอยมาคลุกเคล้าให้เข้ากันกับเกลือแล้วโรยหน้าขนม และนึ่งด้วยไฟแรงจัดเป็นเวลา 25 นาที เสร็จแล้วยกออกจากเตาพักไว้ให้เย็น และนำไปรับประทานได้เลยค่ะ

บทสรุป

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ กับข้อมูลน่ารู้เกี่ยวกับ ขนมตาล พร้อมสูตรวิธีการทำ ขนมไทยง่าย ๆ ซึ่งเป็นสูตรที่เราคัดสรรมาแล้วเป็นอย่างดี และเชื่อว่าทุกคนสามารถนำไปทำตามได้เองที่บ้าน เนื่องจากในปัจจุบันเริ่มจะหาทานที่อร่อย ๆ ได้ยากแล้ว จึงควรค่าแก่การ อนุรักษ์ขนมไทย เอาไว้ ด้วยการลงมือทำด้วยตัวเอง และบอกต่อสูตรนี้ต่อไปให้คนรุ่นหลังได้รู้จัก

 

 

เว็บบอล

READ MOREREAD MORE
พานาคอตต้า

พานาคอตต้า ของหวานสัญชาติอิตาลี อร่อยเต็มรสผลไม้พานาคอตต้า ของหวานสัญชาติอิตาลี อร่อยเต็มรสผลไม้

พานาคอตต้า ของหวานสัญชาติอิตาลี อร่อยเต็มรสผลไม้
พานาคอตต้า

    หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังควบคุมน้ำหนัก แต่ชอบทานของหวานเป็นชีวิตจิตใจ พานาคอตต้า ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะเป็นขนมที่หากใส่วิปปิ้งครีม และน้ำตาลน้อย ๆ ทานในปริมาณที่พอดีแล้วน้ำหนักไม่เพิ่ม แถมยังอร่อยเต็มรสผลไม้ ชอบทานผลไม้เปรี้ยวหวานแบบไหนก็สามารถรังสรรค์เองได้อย่างลงตัว รู้อย่างนี้แล้วอย่ารอช้าค่ะ เราขอเชิญทุกคนไปทำความรู้จักเมนูนี้กันให้มากขึ้นก่อนไปลงมือทำกัน

| แนะนำพานาคอตต้า ขนมหวานยอดฮิต
พานาคอตต้า

     คำว่า PANNA COTTA ภาษาอิตาเลียนแปลได้ว่า ครีมต้น ซึ่งหมายถึงวัตถุดิบ และวิธีการทำ ดังนั้น พานาคอตต้า คือ ขนมหวานอิตาลีที่ใช้วัตถุดิบหลักเป็นครีมผสมผสานกับน้ำตาล ก่อนจะนำมาทำให้มีความเข้มข้นด้วยการใส่เจลาติน เชื่อว่าหลายคนคงคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี เนื่องจาก พานาคอตต้า มีหน้าตาที่น่ารัก สีสันสวยงามน่ารับประทาน รสชาติหวานมันอมเปรี้ยว จึงไม่น่าแปลกใจที่ได้รับความนิยมไปทั่วประเทศ ยิ่งในประเทศไทยที่อากาศร้อน ๆ แบบนี้ยิ่งต้องหามาทานคลายร้อนกันเสียให้ได้

ประวัติความเป็นมา

    พานาคอตต้า ไม่ได้มีหลักฐานบันทึกประวัติความเป็นมาใน ตำราอาหารอิตาเลี่ยน ในช่วงก่อนคริสต์ทศวรรษที่ 1960 แต่ถูกอ้างว่าเป็นขนมสูตรดั้งเดิมของแคว้นพีดมอนต์ ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี ถูกบันทึกในรายชื่อผลิตภัณฑ์อาหารดั้งเดิมของแคว้น มีเนื้อหาว่าสูตรดั้งเดิมนั้นต้องมีการใส่บรั่นดีลูกท้อ และจัดเสิร์ฟแบบไม่มีซอส หรือเครื่องอื่น ๆ ทั้งยังมีเรื่องเล่าถึงที่มาของ เบเกอรี่ ชิ้นนี้ว่า ถูกคิดค้นโดยหญิงสาวชาวฮังการีในแถบลันเกในต้นคริสต์ทศวรรษที่ 1990 

ความแตกต่างของเบเกอรี่ทั้งสองชนิด

    หากใครกำลังสงสัยว่า พานาคอตต้า กับ พุดดิ้ง ต่างกันอย่างไร เราก็ขอตอบให้หายข้องใจ คือ พานาคอตต้า มีหน้าตาคล้ายคลึงกับพุดดิ้ง ดูนุ่มนิ่ม เด้งดึ๋ง และแตกต่างกันตรงที่เนื้อสัมผัสมีความละเอียด นุ่มละมุนลิ้นกว่ามาก รสชาติหวานมันกลมกล่อม เสริมรสเปรี้ยวด้วยผลไม้ได้ตามชอบ ระหว่างรับประทานในแต่ละคำจะรู้สึกได้ถึงกลิ่นนมหอม ๆ ที่คละคลุ้งอยู่ในปาก รับรองว่าเป็น ของหวานอิตาลี ที่ถูกใจทุกคนอย่างแน่นอน

ทีรามิสุ
ประโยชน์ของ PANNA COTTA

    การรับประทาน พานาคอตต้า นอกจะได้รับความอร่อยแสนสดชื่นแล้ว ยังได้รับประโยชน์ที่มากมายจาก วัตถุดิบคุณภาพ ที่เลือกใช้ ยกตัวอย่าง เจลาตินที่อุดมไปด้วยโปรตีน และกรดอะมิโนหลายชนิดที่ดีต่อร่างกาย ช่วยในเรื่องการซ่อมแซม และฟื้นฟูร่างกาย เพิ่มคอลลาเจนในข้อต่อ ลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง บำรุงสมอง ผิว และเส้นผม ทั้งยังเหมาะกับคนที่กำลังทาน อาหารควบคุมน้ำหนัก และน้ำตาล รวมถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากผลไม้นา ๆ ชนิดอีกด้วย

เป็นขนมที่มีความหลากหลาย

     อย่างที่เราได้กล่าวไปแล้วในข้างต้นว่า พานาคอตต้า สามารถใส่ผลไม้เป็นส่วนผสมได้หลายชนิด ดังนั้น จึงนับว่าเป็น ขนมหวาน ที่มีความหลากหลายมาก ทั้งในด้านรูปแบบ หน้าตาของขนม ที่สามารถตกแต่งได้หลายรูปแบบ รสชาติที่สามารถรังสรรค์เพิ่มรสชาติได้มากมายแทนที่จะใช้ครีมเพียงอย่างเดียว เช่น ช็อกโกแลต ชาเขียว ผลไม้ หรือแม้แต่แยมรสชาติต่าง ๆ ก็สามารถรังสรรค์ได้อย่างเข้ากัน

ขนมฝรั่งที่สามารถทำเป็นขนมไทยได้

     ในปัจจุบันได้มีการนำ สูตรพานาคอตต้า มาประยุกต์ใช้กับ ขนมไทย หรือวัตถุดิบที่หาได้ง่ายในประเทศไทย รังสรรค์ออกมาได้อย่างน่าสนใจเป็นขนมไทยกลิ่นอายฝรั่ง และยังน่ารับประทานไม่แพ้ขนมอื่น ๆ เลย เช่น พานาคอตต้า ซ่าหริ่ม , ชาไทย , เสาวรส , กะทิอบควันเทียน , อัญชัน และอีกมากมายหลากหลายสูตรที่รอให้ทุกคนได้ลองทำ สัมผัสรสชาติที่แปลกใหม่นี้ด้วยตนเอง 

| วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำ PANNA COTTA
พานาคอตต้า

    พานาคอตต้า เป็นเบเกอรี่ที่สามารถทำได้ง่าย ใช้เวลาในการทำน้อย และสนุก ขั้นตอนวิธีการทำไม่ยุ่งยากซับซ้อน เหมาะสำหรับมือใหม่ที่อยาก ทำขนม รับประทานด้วยตัวเองที่บ้านในช่วง WORK FORM HOME หรือจะมอบให้คนพิเศษก็ทำได้ โดยในบทความนี้เราจะใช้ซอสส้มเป็นหลัก หรือหากใครอยากใช้ผลไม้ชนิดอื่น ๆ ก็สามารถนำสูตรนี้ไปปรับใช้ได้เลย สำหรับ ส่วนผสมพานาคอตต้า อื่น ๆ ก็สามารถหาได้ง่ายทั่วไป และยังมีราคาถูก ซึ่งเราขอแบ่งออกเป็นสองส่วนเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น ดังนี้

วัตถุดิบส่วนที่ 1
  1. ผงวุ้น 2 ช้อนชา
  2. ผงเจลาติน 2 ช้อนชา
  3. กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา
  4. วิปปิ้งครีม 250 กรัม
  5. น้ำตาลทราย 100 กรัม
  6. นมสดรสจืด 250 กรัม
วัตถุดิบส่วนที่ 2
    1. น้ำตาลทราย 20 กรัม
    2. เกลือ 1 ช้อนชา
    3. ผงวุ้น 1 ช้อนชา
    4. ผงเจลาติน 1 ช้อนชา
    5. น้ำส้มแท้ 100% 300 มิลลิลิตร 
    6. น้ำสะอาด ถ้าข้นไปเติมเพิ่มได้
    7. เนื้อส้ม 1 ถ้วย
พานาคอตต้า
ขั้นตอนวิธีการทำ
  1. ขั้นตอนแรกใส่น้ำส้ม ผงวุ้น และเจลาตินลงไปในหม้อ พักไว้ 5 นาที จากนั้นเปิดเตาต้มด้วยไฟอ่อนให้พอเดือดเดือด ระหว่างนี้ให้คนตลอดเวลาเพื่อให้ส่วนผสมละลายเข้ากันดี ปรุงรสด้วยเกลือ และน้ำตาลทราย
  2. ตักส่วนผสมในขั้นตอนที่ 1 ในปริมาณครึ่งภาชนะแล้วนำไปพักไว้ในตู้เย็นให้เนื้อขนมเซทตัว
  3. ใส่น้ำสะอาด ผงวุ้น และผงเจลาตินลงไปในหม้อ พักไว้ 5 นาที ตามด้วยนมสด จากนั้นนำไปต้มด้วยไฟกลาง ใช้ตะกร้อมือคนให้ส่วนผสมละลายเข้ากัน เมื่อเริ่มเดือดแล้วให้ใส่น้ำตาลทราย วิปปิ้งครีม และกลิ่นวานิลลา เมื่อเริ่มเดือดอีกครั้งให้ปิดเตาได้เลย
  4. นำส่วนผสมที่เซทตัวแล้วออกมาจากตู้เย็น ใส่ส่วนผสมที่เตรียมไว้ในขั้นตอนที่ 3 ลงไป โดยใช้ตะแกรงรองก่อน เพื่อไม่ให้มีฟองอากาศ นำไปพักในตู้เย็นอีกครั้ง
  5. ขั้นตอนสุดท้ายตกแต่งหน้าขนมด้วยเนื้อส้มให้สวยงาม เป็นอันเสร็จสิ้นรับประทานได้เลย
แนะนำสูตรขนมสำหรับคนลดน้ำหนัก

     ใครที่กำลังทาน อาหารคีโต กำลังควบคุมน้ำหนัก หรือเป็นหนึ่งคนที่กำลังประสบปัญหาโรคเบาหวานก็สามารถทาน พานาคอตต้า ได้เช่นเดียวกันค่ะ โดยการนำ สูตรขนม ที่เราได้แนะนำไปปรับใช้ได้ด้วยการงดใช้วัตถุดิบบางชนิด แล้วใส่วัตถุดิบอื่น ๆ ที่สามารถใช้แทนกันได้ ยกตัวอย่าง การใส่สารให้ความหวานแทนน้ำตาล เช่น อิริทริทอล โยเกิร์ต หรือจะใช้ความหวานจากผลไม้แทนก็ได้ความอร่อยที่ไม่แตกต่างกันมาก แถมยังดีต่อสุขภาพ ทานแล้วไม่อ้วน

บทสรุป

      เชื่อว่าหลังจากจบบทความนี้ หลายคนคงได้สูตรดี ๆ ในการทำ ขนมโฮมเมด ไว้รับประทานกันที่บ้านแล้ว โดยใช้วิธีการทำ พานาคอตต้าง่าย ๆ ไม่ง้อเตาอบ เพราะเราใช้วิธีการต้ม และแช่เย็นเพียงเท่านั้น ทั้งยังใช้เวลาทำน้อยมากเมื่อเทียบกับเบเกอรี่ทั่วไป พานาคอตต้า จึงเป็นขนมหวานของทานเล่นอีกหนึ่งเมนูที่เราอยากจะแนะนำให้ลองทำตามกันให้ได้  

ประวัติความเป็นมา

READ MOREREAD MORE
ทีรามิสุ

ทีรามิสุ ขนมหวานจากอิตาลี เบเกอรี่ที่คนรักกาแฟไม่ควรพลาดทีรามิสุ ขนมหวานจากอิตาลี เบเกอรี่ที่คนรักกาแฟไม่ควรพลาด

ทีรามิสุ ขนมหวานจากอิตาลี เบเกอรี่ที่คนรักกาแฟไม่ควรพลาด
ทีรามิสุ

    ใครชอบทานกาแฟเชิญทางนี้ค่ะ ในบทความนี้เรามีขนมหวานสัญชาติอิตาลีมาแนะนำ และเชื่อว่าหลายคนคงรู้จักกันเป็นอย่างดีกับ ทีรามิสุ เบเกอรี่ที่มีคาเฟอีนสูงจากวัตถุดิบกาแฟเข้มข้น ทานแล้วอร่อยหายง่วงอย่างแน่นอน จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก แถมยังเป็นขนมที่เต็มไปด้วยประวัติความเป็นมา เรื่องเล่าที่น่าสนใจ อีกทั้งความหมายยังดีอีกด้วย ดังนั้น เราไปทำความรู้จักกับขนมนี้กันให้มากขึ้นก่อนไปเรียนรู้วัตถุดิบ และวิธีการทำกันค่ะ

| ทีราสุ ขนมยอดนิยมที่น่าทำความรู้จัก
ทีรามิสุ

     ทีรามิสุ คือ ขนมอิตาลีที่มีเอกลักษณ์เป็นการใช้กาแฟมาเป็นส่วนผสมหลัก สร้างความโดดเด่นให้ ทีรามิสุ มากกว่าเบเกอรี่ชิ้นไหน ๆ ทั้งในด้าน หน้าตาของขนม ที่สลับชั้นกันอย่างน่าสนใจด้วยเลดี้ฟิงเกอร์จุ่มกาแฟ มาสคาโปนชีส วิปครีมหวาน โรยหน้าด้วยผงโกโก้เข้มข้น รสชาติจึงมีความหวานมัน และขมเล็กน้อย เนื้อสัมผัสนุ่มละมุนลิ้น หอมกลิ่นกาแฟในทุก ๆ คำที่ได้รับประทาน

ประวัติความเป็นมา

     สำหรับประวัติความเป็นมาของ ทีรามิสุ นั้นน่าสนใจมาก เพราะเกิดการถกเถียงสร้างความขัดแย้งกันระหว่างหลาย ๆ แคว้นในอิตาลี ต่างฝ่ายต่างเข้าใจว่าตนนั้นเป็นแหล่งกำเนิดของของหวานอิตาลีเมนูนี้ ซึ่งมีข้อมูลหลักฐานที่แน่ชัดว่าเกิดขึ้นในทศวรรษที่ 1960 เนื่องจากไม่เป็นที่รู้จักในตำราอาหารอิตาลีมาก่อน และพึ่งจะถูกบันทึกในภายหลังเป็นลายลักษณ์อักษรในปี 1968 โดยร้านขนม LE BECCHERIC ในเมืองเตรวีโซ ประเทศอิตาลี และเป็นขนมตัวแทนของประเทศที่ทั่วโลกรู้จัก

ที่มาของขนมที่ใกล้เคียงที่สุด

     อย่างที่เราได้บอกไปข้างต้นว่า แหล่ง ที่มาของทีรามิสุ นั้นยังไม่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจน แต่เรื่องราวที่มีความเป็นไปได้สูงที่สุดคือ ทีรามิสุ เกิดขึ้นในสมัยเรอเนซองส์ เมืองเซียน่า แคว้นทัสคานี ประเทศอิตาลี โดยเริ่มจากการที่มีผู้ปรุง ซุปปาเดลดุคา หรือ ZUPPA INGLESE ซึ่งมีรูปร่างหน้าตาที่คล้ายกันขึ้นถวายมหาดยุคซิโมเดเมซี จนท่านดยุคได้นำกลับไปที่เมืองฟลอเรนซ์ด้วย และในศตวรรษที่ 19 ก็กลายเป็นที่นิยมของชาวอังกฤษ เริ่มจากหมู่ปัญญาชน ศิลปิน กลุ่มคนดัง และคนทั่วไปในประเทศอังกฤษ

ทีรามิสุ
ความหมายของชื่อ TIRAMISU 

     แม้ว่าชื่อเรียก ทีรามิสุ จะมีความคล้ายคลึงกับภาษาญี่ปุ่นจนทำเอาหลายคนเข้าใจผิด คิดว่าเป็นขนมของญี่ปุ่น แต่แท้จริงแล้วคำว่า TIRAMISU มาจากภาษาอิตาลีแปลได้ว่า PICK ME UP (พาฉันไปด้วย) , LIFE ME UP (ดึงฉันขึ้นไปที) , WAKE ME UP (ปลุกฉันหน่อย) ซึ่งแต่ละคำก็มีหลากหลายความหมายเป็นการเปรียบเปรยหน้าตา และรสชาติของขนม เช่น รสชาติขนมอร่อยจนทำให้รู้สึกเหมือนถูกดึงขึ้นสวรรค์ , คาเฟอีนในขนมทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า และสุดท้ายหน้าตาของขนมที่น่ากินจนต้องสั่งกลับบ้านในทันทีที่เห็น

ประโยชน์ของการทานขนมหวานรสกาแฟ

     กาแฟ เครื่องดื่มยอดนิยม ของคนทั่วโลก เป็นวัตถุดิบหลักในการทำ ทีรามิสุ ที่นอกจากรสชาติจะอร่อยถูกใจคอกาแฟแล้ว เมื่อดื่มอย่างพอดี ประโยชน์ของกาแฟ ส่งผลดีต่อร่างกายด้วย ยกตัวอย่างเหตุผลหลัก ๆ ที่หลายคนดื่มกาแฟ เพราะช่วยให้หายง่วง คาเฟอีนกระตุ้นให้รู้สึกตื่นตัว และยังช่วยในการเผาผลาญอาหาร สลายไขมัน ช่วยชะลอความเสื่อมโทรมของร่างกาย ลดการปวดหัว หรือไมเกรน ที่สำคัญยังช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคต่าง ๆ เช่น โรคมะเร็งตับ หัวใจ มะเร็งในช่องปาก ฯลฯ 

| ทีรามิสุ ขนมที่มีเรื่องเล่าสองแง่สองง่าม
ทีรามิสุ

     มีเรื่องเล่าที่น่าสนใจเกี่ยวกับ ทีรามิสุ หรือ เมนูของหวานอีตาลี ที่ขึ้นชื่ออยู่ว่า ในสมัยก่อนนั้นสตรีในราชสำนักของเวนิสต่างชื่นชอบเบเกอรี่นี้กันเป็นอย่างมาก แต่ไม่ใช่เพราะความอร่อยเพียงเท่านั้น ยังรวมถึงชื่อของ เบเกอรี่ TIRAMISU ที่สามารถแปลตามตัวได้ว่า PICK ME UP ซึ่งใช้คำนี้รวมไปถึงในกรณี MAKE LOVE กลายเป็นรหัสลับที่พวกเธอใช้เมื่อต้องการจะแอบพบกับชายชู้ ซึ่งเรื่องราวนี้ก็ไม่มีหลักฐานว่าจริงแท้แน่นอนหรือไม่ อาจเป็นเพียงเรื่องเล่าที่เล่าต่อกันมาเพื่อให้ประวัติของขนมดูมีสีสันมากยิ่งขึ้นเท่านั้น

| วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำทีรามิสุ

     ในยุคแรกเริ่มวัตถุดิบ ส่วนผสมทีรามิสุ มีเพียง กาแฟ ขนมปังกรอบ ไข่แดง น้ำตาล ชีสมัสคาโปน และผงโกโก้เพียงเท่านั้น ไม่ได้มีการใส่เหล้า ไข่ขาว หรือวัตถุดิบอื่น ๆ เพิ่มเติมเสริมรสชาติหน้าตาเหมือนอย่างในปัจจุบัน ที่ได้มีการนำ สูตรทีรามิสุ มาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับยุคสมัย และในบทความนี้เราก็ได้นำวัตถุดิบ และขั้นตอนการทำ ทีรามิสุ ที่ไม่ต้องใช้เตาอบ เครื่องผสมอาหาร หรืออุปกรณ์ในการทำที่มากมาย มาบอกต่อให้ได้ลองทำตามกัน โดยที่ไม่ต้องเดินทางออกไปซื้อมารับประทานด้วยตนเอง

วัตถุดิบ
  1. เลดี้ฟิงเกอร์ 150 กรัม
  2. MASCARPONE 250 กรัม
  3. วิปปิ้งครีม 150 กรัม
  4. น้ำตาลไอซิ่ง 2 ช้อนโต๊ะ
  5. น้ำร้อน 300 กรัม
  6. ผงโกโก้ 6 ช้อนโต๊ะ
  7. เหล้ารัม 2 ช้อนโต๊ะ
ทีรามิสุ
ขั้นตอนวิธีการทำ
  1. ขั้นตอนแรกใส่กาแฟลงไปในน้ำร้อน คนให้เข้ากันแล้วพักไว้ให้อุ่น
  2. ตีวิปปิ้งครีมผสมกับน้ำตาลไอซิ่งให้ตั้งยอดอ่อน ๆ ด้วยตะกร้อมือ พักไว้แล้วทำการตี MASCARPONE และเหล้ารัมให้เข้ากัน จากนั้นนำส่วนผสมทั้งสองส่วนมาผสมกัน โดยการทยอยใส่ทีละนิด หรือแบ่งใส่วิปปิ้งครีมประมาณสามรอบแล้วคนตะล่อมให้เข้ากัน
  3. เมื่อกาแฟเย็นแล้วให้ใส่เหล้ารัมลงไปแล้วคนให้เข้ากัน
  4. เตรียมพิมพ์เค้ก หรือภาชนะอื่น ๆ สำหรับใส่ขนม จากนั้นนำเลดี้ฟิงเกอร์ลงไปชุบในกาแฟสักครู่ ก่อนจะนำมาจัดเรียงให้สวยงามเป็นชั้นแรกของขนม ตามด้วยการตักครีมที่เตรียมไว้ใส่ลงไปเป็นชั้นที่สอง และใช้ไม้พายเกลี่ยหน้าครีมให้เรียบ ชั้นที่สามเป็นเลดี้ฟิงเกอร์ ชั้นสุดท้ายใส่ครีมลงไป เสร็จแล้วนำไปแช่เย็นเป็นเวลา 2 – 3 ชั่วโมงให้ขนมเซทตัว
  5. นำขนมออกมาจากตู้เย็น (หากใครใช้พิมพ์เค้กให้นำออกจากพิมพ์ก่อน) และโรยตกแต่งหน้าขนมด้วยผงโกโก้ให้สวยงาม เสร็จแล้วจัดเสิร์ฟรับประทานแบบเย็น ๆ ได้เลยค่ะ
บทสรุป

      สำหรับเบเกอรี่ยอดนิยมของคนทั่วโลกอย่าง ทีรามิสุ ที่เราได้นำมาแนะนำในบทความนี้ เป็นเรื่องราวน่ารู้เกี่ยวกับเบเกอรี่ และขั้นตอน วิธีการทำทีรามิสุแบบง่าย ๆ ไม่ต้องมากมายอุปกรณ์ เชื่อว่าเป็นเบเกอรี่ที่ใครก็ทำได้ และสามารถนำไปปรับใช้ได้ในทุกวัน และเป็นของขวัญ ของทานเล่นได้ในทุกเทศกาล จะทำเป็น เค้กทิรามิสุ หรือใส่ภาชนะรูปแบบถ้วยใสก็สวยงามน่ารับประทานเช่นกันค่ะ 

ประวัติความเป็นมา

READ MOREREAD MORE
ขนมหวาน

MADELEINE ขนมหวานหน้าตาเหมือนเปลือกหอยMADELEINE ขนมหวานหน้าตาเหมือนเปลือกหอย

MADELEINE ขนมหวานหน้าตาเหมือนเปลือกหอย
ขนมหวาน

    MADELEINE หรือ มาเดอลีน ขนมหวาน สัญชาติฝรั่งเศส ที่มีรูปร่างเหมือนเปลือกหอยลายหยัก หน้าตาคล้ายขนมไข่ของไทย เนื้อสัมผัสนุ่ม กลิ่นหอมเนย รสหวาน เปรี้ยวนิด ๆ จากผิวเลมอน เป็นขนมอบที่มีต้นกำเนิดตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ในประเทศฝรั่งเศส แต่ก็ยังไม่ทราบที่มาแช่ชัดว่าใครเป็นผู้คิดค้นขึ้นมาเป็นคนแรก และเชื่อกันว่า รูปทรงเปลือกหอยนี้ทำตามสัญลักษณ์บนหมวกของนักแสวงบุญ 

| วัตถุดิบในการทำ MADELEINE ขนมหวานที่โด่งดังไปทั่วโลก
ขนมหวาน

     ขนมหวาน นาม มาเดอลีน ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเมื่อ MARCEL PROUST นักเขียนชื่อดังได้ลองรับประทานขนมนี้แล้วมีแรงบันดาลใจในการเขียนหนังสือที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ทำให้หลาย ๆ คนรู้จัก ขนมฝรั่งเศส นี้กันมากขึ้น ในปัจจุบันมีการทำขึ้นมาหลากหลายรส ทั้งแบบที่เคลือบหน้าขนม หรือสอดไส้มากมาย อร่อยไม่มีที่ติเลยค่ะ และหากใครอยากลองทาน แต่หาซื้อไม่ได้ เราขอแนะนำให้ซื้อวัตถุดิบมาลองทำกันได้ที่บ้านเลยค่ะ

วัตถุดิบในการทำขนมมาเดอลีน
  1. แป้งเค้ก 160 กรัม
  2. ผงฟู 1 ช้อนชา
  3. ไข่ไก่เบอร์ 2 3 ฟอง
  4. น้ำตาลทรายละเอียด 150 กรัม
  5. เนยเค็มละลาย 160 กรัม
  6. ผิวเลมอน 1 ช้อนตวง
  7. เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
ขนมหวาน
ขั้นตอนวิธีการทำขนมมาเดอลีน

     มาเดอลีน เป็นขนมเค้กเนื้อฟองน้ำขนาดเล็ก ใช้วิธีการอบในการทำขนม เหมาะสำหรับคนที่ไม่มีอุปกรณ์ การทำขนม เลย เพราะใช้แค่เตาอบ และแม่พิมพ์ก็สามารถทำ ขนมหวาน สัญชาติฝรั่งเศส รับประทานกันเองได้ ผ่านขั้นตอนวิธีการทำที่แสนจะง่ายดาย และไม่ซับซ้อนเลยสักนิด แต่ต้องอาศัยเวลาในการทำที่ค่อนข้างนาน จึงต้องเตรียมเวลาว่างไว้ในการทำ

  1. ขั้นตอนแรกใส่ไข่ไก่ น้ำตาลทราย และเกลือป่นใส่ลงไปในชามผสม ใช้ตะกร้อมือตีให้เข้ากัน ร่อนแป้งเค้ก และผงฟูลงไปแล้วตีอีกรอบให้ส่วนผสมละลายเข้ากันดี ตามด้วยผิวเลมอน และเนยละลายแบ่งใส่ 2 – 3 รอบ แล้วตีอีกครั้งให้เข้ากัน เสร็จแล้วนำไปแช่ตู้เย็นไว้ 1 ชั่วโมง
  2. เตรียมพิมพ์สำหรับทำขนมรูปเปลือกหอย ทาเนยลงไปให้ทั่ว และนำส่วนผสมในขั้นตอนแรกใส่ถุงบีบแล้วบีบใส่พิมพ์ เมื่อบีบจนครบแล้วให้เคาะพิมพ์กับโต๊ะเบา ๆ เพื่อไล่ฟองอากาศ
  3. นำขนมไปอบด้วยอุณหภูมิ 170 องศา ไฟบนล่าง เป็นเวลา 10 นาที และอบต่อด้วยอุณหภูมิ 160 องศา ไฟบนล่าง เป็นเวลา 10 – 15 นาที หรือจบกว่าขนมจะสุก
  4. เมื่อขนมสุกแล้วให้นำออกจากเตา พักไว้ให้อุ่น ๆ เสร็จแล้วนำออกจากพิมพ์รับประทานได้เลย

READ MOREREAD MORE
ขนมหวาน

มาการอง ขนมหวานหลากสีสัน สัญชาติฝรั่งเศสมาการอง ขนมหวานหลากสีสัน สัญชาติฝรั่งเศส

มาการอง ขนมหวานหลากสีสัน สัญชาติฝรั่งเศส
ขนมหวาน

    มาการอง หรือ MACARON ขนมฝรั่งเศสรูปวงกลมสองอันประกบกัน สอดไส้ตรงกลางหลากหลายทั้ง ไส้ครีม สตรอว์เบอรี ช็อคโกแลต ฯลฯ และยังมีสีสันสดใสสวยงาม น่ารักจนไม่กล้ารับประทานเลย แต่เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะรู้สึกถึงเนื้อสัมผัสที่กรอบนอก นุ่มใน หวานละมุนลิ้น หรือในบางชิ้นอาจจะสอดไส้ที่เปรี้ยวตัดรส โดยรวมคืออร่อยไม่แพ้ ขนมหวาน ชิ้นไหน ๆ เลยละค่ะ

| วัตถุดิบในการทำขนมหวาน มาการองสตรอว์เบอรี
ขนมหวาน

     สำหรับ ขนมหวาน สัญชาติฝรั่งเศสที่เรานำมาแนะนำกันในบทความนี้ มีต้นกำเนิดของ มาการอง ที่เล่าต่อกันมามากมายหลายเรื่อง แต่โดยรวมแล้วมีประวัติที่ยาวนานกว่าหลายร้อยปี จากความอร่อยของส่วนผสมหลักอย่างเมอร์แรงก์ น้ำตาล และอัลมอนด์ ทำให้เกิดความอร่อยจนกลายเป็น ขนมฝรั่งเศส ที่ได้รับความนิยมทั่วประเทศ ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทยของเราเอง 

วัตถุดิบในการทำมาการอง

  1. อัลมอนด์ป่น 60 กรัม
  2. น้ำตาลไอซิ่ง 90 กรัม
  3. ไข่ขาวของไข่ไก่เก่า 50 กรัม
  4. น้ำตาลทรายป่น 60 กรัม
  5. สีผสมอาหารตามชอบ
  6. สารแต่งกลิ่นสตรอว์เบอรีเล็กน้อย

วัตถุดิบในการทำไส้สตรอว์เบอรี

  1. เนยสดรสจืด 100 กรัม
  2. แยมสตรอเบอร์รี่ หรือแยมตามชอบ

ขนมหวาน
ขั้นตอนวิธีการทำมาการอง

     ต้องบอกก่อนเลยว่า มาการอง เป็น ขนมหวาน ขนมที่ทำไม่ยาก แต่กลับมีราคาที่สูงเอามาก ๆ นับว่าสูงกว่าเบเกอรี่ทั่วไปที่มีขายในไทย ในบางชิ้นมีราคาสูงถึง 20,000 บาทต่อชิ้นเลยทีเดียว แต่หากใครอยากจะทาน มาการองสตรอว์เบอรี แสนอร่อยในราคาประหยัด สามารถนำสูตรที่เรานำมาฝากนี้ไปลองทำตามกันได้

  1. ขั้นตอนแรกนำน้ำตาลไอซิ่ง และอัลมอนด์ป่นใส่ถาดอบไล่ความชื้นด้วยอุณหภูมิ 100 องศา เป็นเวลา 1 – 2 ชั่วโมง อบเสร็จแล้วพักไว้ให้เย็น ต่อมาให้ร่อนน้ำตาลไอซิ่ง และอัลมอนด์ป่นลงในชามผสมแล้วนำไปอบด้วยอุณหภูมิเท่าเดิมต่ออีก 30 นาที พักไว้ให้เย็น
  2. ทำเมอแรงก์โดยเริ่มจากการใส่ไข่ขาว สารแต่งกลิ่น ใช้เครื่องผสมอาหารตีด้วยสปีดต่ำจนเป็นฟอง ระหว่างนี้ให้ทยอยใส่น้ำตาลทรายป่นลงไป เมื่อเริ่มขึ้นฟูแล้วใส่สีผสมอาหารลงไปตีต่อจนตั้งยอด
  3. ใส่เมอแรงก์ที่เตรียมไว้ใส่ลงไปผสมในชามผสมที่เตรียมไว้ในขั้นตอนที่ 1 คนให้เข้ากันจนแป้งไม่เป็นเม็ด นำไปใส่ถุงบีบแล้วบีบเป็นวงกลมใส่ถาด รองด้วยกระดาษรองอบ โดยให้ห่างกันชิ้นละประมาณ 1 นิ้ว เมื่อบีบเสร็จแล้วให้เคาะถาดเพื่อให้ตัวเรียบขึ้น พักไว้ในห้องแอร์ 40 นาที
  4. นำขนมเข้าเตาอบด้วยอุณหภูมิ 150 องศา ไฟบนล่าง เปิดพัดลม เป็นเวลา 10 นาที หรือจนกว่าขนมจะสุก เสร็จแล้วนำมาพักไว้ให้เย็น
  5. ใส่เนยสดรสจืดใส่ลงไปในชามผสม ใช้เครื่องผสมอาหารตีด้วยสปีดสูงสุด ประมาณ 3 นาที จนเนื้อเริ่มฟู ใส่แยมสตรอว์เบอรีลงไปตีอีกครั้งให้เข้ากันอีก 3 นาที นำไปใส่ถุงบีบ
  6. นำฝามาการองออกจากแผ่นรอง บีบไส้ใส่แล้วประกบด้วยฝาอีกด้าน เสร็จแล้วรับประทานได้เลย

ภาพจาก:

https://cookidoo.com.cn/recipes/recipe/en-CN/r99427
https://sallysbakingaddiction.com/french-macarons/
https://www.sweetandsavorybyshinee.com/french-macarons/

READ MOREREAD MORE
ขนมญี่ปุ่น

ไดฟูกุ ขนมญี่ปุ่นยอดนิยม ขนมแห่งความโชคดีไดฟูกุ ขนมญี่ปุ่นยอดนิยม ขนมแห่งความโชคดี

ไดฟูกุ ขนมญี่ปุ่นยอดนิยม ขนมแห่งความโชคดี
ขนมญี่ปุ่น

    “ไดฟูกุ” ขนมญี่ปุ่น ยอดนิยมที่ฮิตกันทั่วบ้านทั่วเมือง จนกลายเป็นกระแสฟีเวอร์ในโซเชียลมาแล้ว เป็นขนมที่มีที่มาจากขนมที่มีชื่อว่า อุซึระโมจิ หรือโมจินกกระทา ที่รูปร่างใหญ่ ยาว คล้ายนก และต่อมาก็ได้เปลี่ยนมาทำให้เป็นขนมที่มีรูปร่างเล็กลง และได้เปลี่ยนชื่อขนมนี้เหมือนอย่างในปัจจุบัน เพื่อความหมายที่เป็นศิริมงคลจากตัวคันจิคำว่า ฟุกุ ภาษาญี่ปุ่นที่แปลว่า โชคดี ทำให้กลายเป็นขนมแสนอร่อยที่หลาย ๆ คนนำไปเป็นของขวัญอวยพรให้กันและกันในวันสำคัญ

| วัตถุดิบในการทำขนมญี่ปุ่น ไดฟูกุ ขนมที่ทั้งอร่อย และอยู่ท้อง
ขนมญี่ปุ่น

     สิ่งที่ทำให้ ขนมไดฟูกุ เมื่อทานเข้าไปแล้วรู้สึกอิ่มท้อง เพราะไส้ถั่วแดงที่ใส่ลงไปให้พลังงานสูง ช่วยให้เราอิ่มท้องได้นานขึ้น และด้วยความนิยมในปัจจุบัน ขนมญี่ปุ่น ก้อนกลมนี้ยังถูกเปลี่ยนไปสอดไส้อื่น ๆ มากมาย เช่น ชาเขียว คัสตาร์ด ช็อกโกแลต หรือแม้แต่ผลไม้อย่าง สตรอว์เบอรี ส้ม ฯลฯ และมีหลากหลายสีสัน เป็นขนมหน้าตาน่ารักที่น่ารับประทานเป็นอย่างมาก และเราก็จะชวนมาทำ ไดฟูกุสตรอว์เบอรี โดยแบ่งวัตถุดิบออกเป็นสองส่วน ดังนี้

วัตถุดิบในการทำถั่วแดงกวน
  1. ถั่วแดงหลวงล้างสะอาด แช่น้ำ 8 ชั่วโมง 200 กรัม
  2. น้ำสะอาด 1,500 มิลลิลิตร
  3. น้ำตาลทรายป่นละเอียด 160 กรัม
  4. เนยสดรสจืด 30 กรัม
  5. เกลือ 1/2 ช้อนชา 
วัตถุดิบในการทำไดฟูกุ
  1. แป้งข้าวเหนียว 150 กรัม
  2. แป้งข้าวโพด 20 กรัม
  3. ผงชาเขียว 8 กรัม
  4. น้ำตาลทรายแดงป่นละเอียด 70 กรัม
  5. น้ำสะอาด 250 มิลลิลิตร
  6. แป้งมัน สำหรับทำแป้งนวล 100 กรัม
  7. สตรอว์เบอร์รีตัดขั้ว 20 ลูก
ขนมญี่ปุ่น
ขั้นตอนวิธีการทำขนมไดฟูกุ

     หากใครอยากลองทำ ขนมญี่ปุ่น แบบง่าย ๆ ไม่ต้องเตรียมอุปกรณ์การทำที่มากมาย เพื่อทานเองที่บ้าน หรือทำไปมอบให้คนที่รัก การทำ ไดฟูกุสตรอว์เบอรี ถือว่าเป็น การทำขนม ที่ตอบโจทย์อย่างแน่นอน เมื่อทานไปแล้วจะได้รสชาติความหวานนุ่มละมุนลิ้นของแป้ง ความหนึบ และกลิ่นของถั่วแดง รวมถึงรสเปรี้ยวของสตรอว์เบอรี

  1. ขั้นตอนแรกนำถั่วแดงออกมากรองด้วยตะแกรงแล้วล้างน้ำสะอาดอีกครั้ง จากนั้นนำไปใส่ในหม้อ เติมน้ำสะอาดลงไปต้มด้วยไฟกลางค่อนอ่อนประมาณ 90 นาที หรือจนกว่าถั่วแดงจะสุก ในระหว่างนี้ให้ช้อนฟองออกด้วย ครบเวลาแล้วปิดเตาพักไว้ให้เย็น
  2. นำถั่วแดงที่เย็นแล้วมาปั่นให้ละเอียดแล้วตั้งกระทะด้วยไฟอ่อน ใส่เนยสดลงไปแล้วรอจนละลาย ตามด้วยถั่วแดง น้ำตาลทรายแดงป่น และเกลือลงไปกวนให้เข้ากัน จนถั่วแดงแห้งจับตัวเป็นก้อน และไม่ติดกระทะ จากนั้นนำไปพักไว้ให้เย็น
  3. นำสตรอว์เบอรีมาซับน้ำให้แห้ง ปั้นถั่วแดงเป็นก้อนกลมก่อนจะแผ่ออกมาห่อหุ้มสตรอว์เบอรีให้ทั่วทั้งลูก เมื่อปั้นจนเสร็จแล้วให้นำไปพักไว้ในตู้เย็น
  4. ตั้งกระทะด้วยไฟกลาง นำแป้งมันลงไปผัดให้สุก ประมาณ 10 – 15 นาที จากนั้นนำมาพักไว้
  5. ใส่แป้งข้าวเหนียว แป้งข้าวโพดลงไปกวนให้เข้ากันในชามผสม ทยอยเติมน้ำเปล่าลงไปในระหว่างกวนจนเข้ากันดี จากนั้นนำเข้าไมโครเวฟ 3 – 4 นาที นำไปวางรวมกับแป้งที่ผัดไว้ ห่อหุ้มด้วยแป้งให้ทั่วแล้วตัดเป็นชิ้นตามขนาดสตอรว์เบอรีที่เตรียมไว้
  6. นำไว้นวดแป้งมารีดแป้งให้เป็นแผ่นบางแล้วนำไปห่อสตอรว์เบอรีอีกหนึ่งชั้น เป็นอันเสร็จสิ้น รับประทานได้เลยค่ะ

READ MOREREAD MORE
ขนมญี่ปุ่น

โดรายากิ ขนมญี่ปุ่นของโปรดของโดราเอมอนโดรายากิ ขนมญี่ปุ่นของโปรดของโดราเอมอน

โดรายากิ ขนมญี่ปุ่นของโปรดของโดราเอมอน
ขนมญี่ปุ่น

    โดรายากิ ขนมญี่ปุ่น ที่เราคุ้นเคยกันดีในวัยเด็ก จากการ์ตูนเรื่องโปรดของใครหลาย ๆ คน โดราเอมอน นั้นเอง เพราะขนมหวานที่มีรูปร่างคล้ายคลึงกับแพนเค้กสองแผ่นประกบกัน และสอดไส้ถั่วแดงตรงกลาง เป็นของโปรดของตัวละครหลักโดราเอมอน ชอบมากเสียจนเราอยากลองทานกันดูสักครั้งเสียตอนนั้นเลย เราจึงได้หยิบยกขนมหวานนี้มาให้ได้ลองทำตามกันแบบง่าย ๆ

| วัตถุดิบในการทำขนมญี่ปุ่น โดรายากิแสนอร่อย
ขนมญี่ปุ่น

     มีเรื่องเล่าต่อกันมาเกี่ยวกับ ขนมญี่ปุ่น ชิ้นนี้ว่า เบงเค นักรบในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นได้รับบาดเจ็บ และได้ไปรักษาตัวกับสามีภรรยาคู่หนึ่ง ทั้งสองได้ทำขนมแผ่นกลม ย่างบนฆ้องโดรา นำมาให้รับประทาน จนกลายเป็นที่มาของ ขนมโดรายากิ ต่อมาก็ได้มีการทำไส้อื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น คัสตาร์ด ชาเขียว ผลไม้ ช็อกโกแลต มันเทศ เกาลัด หรือแม้แต่ไส้ไอศกรีม ซึ่งล้วนเพิ่มรสให้อร่อยขึ้นอย่างปฎิเสธไม่ได้ ส่วนวัตถุดิบในการทำก็สามารถหาได้ง่ายในประเทศไทย ดังนี้

วัตถุดิบในการทำโดรายากิ
  1. แป้งสาลีหรือแป้งเค้ก 180 กรัม
  2. ไข่ไก่อุณหภูมิห้อง 3 ฟอง
  3. น้ำตาลทรายขาว 150 กรัม
  4. น้ำผึ้ง 2 ช้อนชา
  5. ผงฟู 1/2 ช้อนชา
  6. เกลือป่น 1/8 ช้อนชา
  7. น้ำ 100 ซีซี
  8. ไส้ถั่วแดงปริมาณตามชอบ
ขนมญี่ปุ่น
ขั้นตอนวิธีการทำโดรายากิ

   ในอดีต โดรายากิ นั้นจะมีแป้งแค่แผ่นเดียวเท่านั้น จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1904 ก็ได้นำแผ่นแป้ง โดรายากิ สองแผ่นมาสอดไส้แล้วประกบให้เข้ากัน จนกลายเป็น ขนมยอดนิยม และมีชื่อเสียงรู้จักกันไปทั่วโลก จากการ์ตูนอนิเมชั่นเรื่องโดราเอมอน หากอยากลองทานกันแล้ว ไปลงมือทำ ขนมญี่ปุ่น แสนอร่อยกันเลย

  1. ขั้นตอนแรกใส่ไข่ไก่ลงไปตีให้เข้ากันในชามผสม ตามด้วยน้ำตาลทราย และน้ำผึ้ง ใช้ตะกร้อมือตีต่อด้วยความรวดเร็ว 3 – 5 นาที หรือจนกว่าส่วนผสมจะข้นขึ้น จากนั้นนำเกลือ แป้ง และผงฟูผสมใส่ในชามผสมอีกชามแล้วร่อนลงไปในชามผสมเดียวกันแล้วคนเบา ๆ ให้เข้ากัน พักไว้ในตู้เย็น 30 นาที
  2. ตั้งกระทะเทฟล่อนด้วยไฟอ่อน ใช้กระดาษซับน้ำมันทาให้ทั่วกระทะแล้วใส่แป้งลงไปให้เป็นแผ่นมีฟองอากาศ และพลิกด้านให้สุกทั่วกันทั้งสองด้าน สุกแล้วนำไปพักไว้ คลุมด้วยผ้าชุบน้ำเล็กน้อย เพื่อไม่ให้แป้งแห้งจนเกินไป
  3. ขั้นตอนสุดท้ายนำแผ่นแป้งมาใส่ไส้ถั่วแดงแล้วประกบด้วยแผ่นแป้งอีกแผ่น บีบให้แผ่นแป้งชิดกันปิดส่วนไส้ เสร็จแล้วนำไปรับประทานได้เลย

READ MOREREAD MORE
เบเกอรี่

FUDGY BROWNIES เนื้อแน่น เข้มข้น เบเกอรี่สุดฮอตที่ไม่มีใครไม่รู้จักFUDGY BROWNIES เนื้อแน่น เข้มข้น เบเกอรี่สุดฮอตที่ไม่มีใครไม่รู้จัก

FUDGY BROWNIES เนื้อแน่น เข้มข้น เบเกอรี่สุดฮอตที่ไม่มีใครไม่รู้จัก

    เชื่อว่าในปัจจุบันนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักบราวนี่ เบเกอรี่ ยอดนิยม จนกลายเป็นกระแสที่คนทำขายมากกว่าคนซื้อ โดยมีลักษณะเป็นเบเกอรี่ช็อกโกแลตรูปทรงสี่เหลี่ยม รสชาติหวานอมขมนิด ๆ เข้มข้นช็อกโกแลตแบบสุด ๆ รู้หรือไม่คะว่าบราวนี่ที่เรากินกันอยู่นี้มีต้นกำเนิดมาจากสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และมีตำนานมากมายที่กล่าวถึงข้อมูลของผู้คิดค้น แต่ก็ยังไม่สามารถหาหลักฐานได้ว่าใครเป็นผู้คิดค้นกันแน่

| เบเกอรี่ยอดนิยมที่มีหลายหน้า
เบเกอรี่

     ด้วยความที่เป็น เบเกอรี่ ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในหลายๆประเทศ หนึ่งในนั้นก็รวมถึงประเทศไทยเราด้วย บราวนี่  จึงเป็น ขนมหวาน ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาหลายสูตรด้วยกันให้เราได้เลือกรับประทานกันตามความชอบ โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 แบบหลัก ๆ นั่นก็คือ FUDGY BROWNIES มีเนื้อแน่น เข้มข้น หน้านั้นจะมีความกรอบ แต่ด้านในจะเหนียวนุ่ม , CEKEY BROWNIE ลักษณะเหมือนเค้กช็อกโกแลต แต่เข้มข้นกว่า , CHEWY BROWNIES เป็นบราวนี่ที่อยู่ระหว่างแบบแรก และแบบที่สอง ที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว

วัตถุดิบในการทำFUDGY BROWNIES
  1. ดาร์กช็อกโกแลต 180 กรัม 
  2. เนยสดรสเค็ม 100 กรัม 
  3. น้ำตาลทรายเม็ดละเอียด 150 กรัม 
  4. ไข่ไก่เบอร์ 1 2 ฟอง
  5. แป้งอเนกประสงค์ 70 กรัม 
  6. ผงโกโก้ 25 กรัม
  7. ผงฟู 1/2 ช้อนชา 
  8. กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา
เบเกอรี่
ขั้นตอนวิธีการทำFUDGY BROWNIES

     วันนี้เราก็มีสูตรในการทำ FUDGY BROWNIES เบเกอรี่ บราวนี่ ที่เราชอบมากที่สุด มาฝากให้ทุกคนได้ลองทำตามกันแบบง่าย ๆ ไม่ต้องสั่งพรีออเดอร์ หรือหาซื้อกันตามสถานที่ต่าง ๆ ในเมื่อเราก็สามารถทำเองได้ และเมื่อเราทำเองก็หมายความว่าเราสามารถปรับสูตร และใช้วัตถุดิบได้ตามใจชอบ ไปดูวิธีการทำกันเลยค่ะ

  1. ขั้นตอนแรกใส่เนย และดาร์กช็อกโกแลตลงไปในชามผสม จากนั้นตั้งน้ำให้ร้อนแล้วนำชามผสมของเราไปวางบนหม้อ ใช้ไม้พายคนให้ส่วนผสมทั้งสองอย่างละลายเข้ากันดี พักไว้ให้คลายร้อน
  2. เตรียมชามผสมอีกชามแล้วใส่ไข่ไก่ และน้ำตาลทราย ใช้ตะกร้อคนให้น้ำตาลทรายละลายจนหมด และเทส่วนผสมในขั้นตอนที่ 1 และกลิ่นวานิลลาลงไปผสมคนให้เข้ากัน 
  3. ร่อนแป้งอเนกประสงค์ ผงโกโก้ และผงฟูลงไปในชามผสมเดียวกันกับขั้นตอนที่ 2 แล้วคนเบา ๆ ให้เข้ากันดี 
  4. เตรียมพิมพ์ขนาด 8×8 นิ้ว โดยรองด้วยกระดาษไข หรือกระดาษรองอบ และนำส่วนผสมที่เตรียมไว้ลงไป ใช้ไม้พายเกลี่ยหน้าขนมให้เรียบเนียน เคาะก้นถาด 2 – 3 ครั้ง เพื่อไล่ฟองอากาศ
  5. วอร์มเตาอบด้วยอุณหภูมิ 170 องศา ไฟบน – ล่าง เป็นเวลา 10 นาที เมื่อครบแล้วให้นำถาดบราวนี่ที่เตรียมไว้เข้าไปอบด้วยอุณหภูมิเท่าเดิม โดยใช้เวลาในการอบประมาณ 25 นาที 
  6. นำบราวนี่ออกมาพักไว้ให้เย็นสนิท จากนั้นนำออกจากถาด และพิมพ์ ตัดขนาดตามต้องการแล้วจัดเสิร์ฟได้เลย

READ MOREREAD MORE