หมวดหมู่: อาหารไทย

ปลาราดพริกสามรส

ปลาราดพริกสามรส รสชาติเผ็ดเปรี้ยวหวาน ทำได้ง่ายๆปลาราดพริกสามรส รสชาติเผ็ดเปรี้ยวหวาน ทำได้ง่ายๆ

ปลาราดพริกสามรส

ใครชอบทานปลาเนื้อแน่นๆหวานๆแล้ว ต้องไม่พลาดกับเมนู ปลาราดพริกสามรส เมนูอาหารไทย รสชาติเข้มข้นครบรส เผ็ด เปรี้ยว หวาน เนื้อสัมผัสเนื้อปลาทอดฟูกรอบนอก เนื้อด้านในนุ่มลิ้น ใครได้ลองเป็นต้องติดใจทุกราย แน่นอนว่าเราก็ได้นำ สูตร ปลาราดพริกสามรส มั่นใจได้เลยว่าแม้จะเป็นมือใหม่ก็สามารถทำทานได้เองที่บ้านแบบฟินๆ อร่อยไม่แพ้เชฟมาเองเลยค่ะ

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำ ปลาราดพริกสามรส เมนูปลาทำง่าย อร่อยลงตัว

ปลาราดพริกสามรสอาหารไทยง่ายๆ แต่ในร้านอาหารกลับมีราคาสูงกว่าอาหารทั่วไป และในบางร้านจะมีการทำน้ำราดที่มีรสชาติหวานจนเกินไป และไม่ถูกปากใครหลายๆคน การทำทานเองโดยใช้สูตรง่ายๆนั้นจึงถือว่าตอบโจทย์ สามารถเลือกใช้ปลาชนิดต่างๆมาทำ ปลาสามรส ได้ตามชอบ ไม่ว่าจะเป็นปลาเก๋า,ปลาทับทิม,ปลาช่อน,ปลานิล ฯลฯ ในบทความนี้เราจะใช้ปลานิลขนาดหนึ่งกิโลกรัมนะคะ

วัตถุดิบทำ ปลานิลราดพริกสามรส

  1. ปลานิล (ถอดเกล็ด นำไส้ออก) 1 ตัว  
  2. เกลือ ½ ช้อนชา
  3. กระเทียม 40 กรัม
  4. พริกแดงจินดา 50 กรัม
  5. พริกชี้ฟ้าแดงหั่นเส้น 2 เม็ด
  6. ผักชีซอย 2 ต้น
  7. น้ำมะขามเปียก 4 ช้อนโต๊ะ
  8. น้ำปลา 5 ช้อนโต๊ะ
  9. น้ำตาลปี๊บ 6 ช้อนโต๊ะ
  10. น้ำเปล่า 50 มิลลิลิตร
  11. น้ำมันสำหรับทอดปลา
ปลาราดพริกสามรส

ขั้นตอนวิธีทำ 

  1. ขั้นตอนแรกในการทำ ปลาราดพริกง่ายๆ เริ่มจากการล้างปลานิลให้สะอาดแล้วใช้ทิชชูซับให้แห้ง ต่อด้วยการใช้มีดบั้งตัวปลาทั้งสองด้าน และโรยเกลือเพิ่มรสชาติให้ทั่วตัวปลา 
  2. ตั้งกระทะใส่น้ำมันลงไปประมาณครึ่งกระทะแล้วเปิดเตาด้วยไฟกลางค่อนไฟแรง รอให้น้ำมันร้อนจัดจึงเอาปลานิลที่เตรียมไว้ลงไปทอด (ในขั้นตอนนี้ให้ระมัดระวังน้ำมันกระเด็นนะคะ) เมื่อเนื้อปลาด้านล่างสุกเหลืองได้ที่แล้วให้พลิกกลับด้านตัวปลา เพื่อให้สุกทั่วกันทั้งสองด้าน เสร็จแล้วนำออกมาพักไว้ในตะแกรงให้สะเด็ดน้ำมัน
  3. นำพริกแดงจินดา รากผักชี และกระเทียมมาปั่นหรือโขลกให้ละเอียด จากนั้นตั้งกระทะใส่น้ำมันเล็กน้อย ตามด้วยการใส่ส่วนผสมที่เตรียมไว้ลงไปผัดให้หอม ลดไฟลงเป็นไฟอ่อนก่อนจะปรุงรสด้วยน้ำมะขามเปียก น้ำปลา และน้ำตาลปี๊บ ปรับไฟเป็นไฟกลางแล้วใส่น้ำเปล่าลงไปผัดคลุกเคล้าให้ส่วนผสมละลายเข้ากันดี เคี่ยวต่อไปให้ส่วนผสมข้นหนืด และปิดเตาได้เลย
  4. จัดปลาทอดที่เตรียมไว้ใส่จาน และราดด้วยน้ำพริกสามรสที่เตรียมไว้ให้ทั่ว โรยหน้าตกแต่งด้วยผักชี และพริกชี้ฟ้าแดงซอย เป็นอันเสร็จสิ้นรับประทานได้เลยค่ะ
ปลาราดพริกสามรส

จบไปแล้วกับสูตรวิธีการทำปลาราดพริกสามรส สำหรับทานเคียงคู่กับข้าวสวยร้อนๆ ทำหนึ่งครั้งสามารถทานได้ทั้งครอบครัวเลยทีเดียว ใครที่กำลังเบื่อกับ เมนูปลาทอด รสชาติจืดชืดแล้วละก็ แนะนำให้นำ สูตรปลาราดพริก ของเราไปลองทำตามกันที่บ้านนะคะ

สนับสนุนโดย : https://sa-game.bet/สมัครบาคาร่า888/

READ MOREREAD MORE
กุ้งอบวุ้นเส้น

กุ้งอบวุ้นเส้น รสชาติกลมกล่อมแบบภัตตาคาร ทำได้เองกุ้งอบวุ้นเส้น รสชาติกลมกล่อมแบบภัตตาคาร ทำได้เอง

กุ้งอบวุ้นเส้น

ในบทความนี้เราจะชวนเพื่อนๆทุกคนมาทำเมนูภัตตาคารสุดหรู ที่ทำได้เองง่ายๆที่บ้านอย่างเมนู กุ้งอบวุ้นเส้น รสชาติอร่อยกลมกล่อม รับประทานเคียงคู่กับน้ำจิ้มซีฟู๊ดรสเด็ด ต้องบอกเลยว่าหากินไม่ได้ง่ายๆ ถึงหากินได้ก็มักจะมีราคาสูงกว่าเมนูอาหารไทยทั่วไป และยังเป็น เมนูอาหารไทย ที่ได้รับอิทธิพลมาจากประเทศจีน กุ้งอบวุ้นเส้นโบราณ จึงมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากอาหารไทยทั่วไป

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำ กุ้งอบวุ้นเส้น อาหารไทยง่ายๆ อร่อยได้ไม่มีเบื่อ

กุ้งอบวุ้นเส้นนอกจากจะอร่อยจนหลายคนติดใจแล้ว ยังเป็นเมนูอาหารเพื่อสุขภาพ ที่ประกอบด้วยสมุนไพรมากมาย เมื่อรับประทานกุ้งอบวุ้นเส้น สูตร ภัตตาคาร เข้าไปแล้วจะรู้สึกได้ถึงเนื้อสัมผัสเหนียวนุ่มของวุ้นเส้น ผสานกับรสชาติแสนอร่อยของเครื่องปรุง พร้อมความหอมของเครื่องเทศคละคลุ้งอยู่ในปาก และเมื่อเพิ่มน้ำจิ้มซีฟู๊ดเข้าไปใน อาหารไทยง่ายๆ เมนูนี้แล้วยิ่งเพิ่มความอร่อยแซ่บถึงใจเข้าไปอีก หากใครอยากลองทานแล้วเราไปเตรียมส่วนผสมกันเลยค่ะ

วัตถุดิบทำกุ้งอบวุ้นเส้น

  1. กุ้ง (ตัดแต่ง และนำเส้นดำออกให้เรียบร้อย) 400 กรัม
  2. หมูสามชั้นหั่นชิ้น 150 กรัม
  3. วุ้นเส้นแห้ง (แช่น้ำให้นุ่ม) 200 กรัม
  4. ต้นหอมหั่นชิ้น 20 กรัม
  5. ขึ้นช่ายหั่นชิ้น 20 กรัม
  6. ขิงแก่หั่นชิ้นบาง 30 กรัม
  7. กระเทียมบุบ 30 กรัม
  8. รากผักชี 10 กรัม
  9. ชวงเจีย (พริกหอม) 1 ช้อนโต๊ะ
  10. พริกไทยป่น 1/2 ช้อนโต๊ะ
  11. น้ำเปล่า 250 กรัม
  12. ซอสหอยนางรม 3 ช้อนโต๊ะ
  13. ซีอิ้วขาว 3 ช้อนโต๊ะ
  14. ซีอิ้วดำหวาน 2 ช้อนโต๊ะ
  15. น้ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะ
  16. น้ำตาลทราย 2/3 ช้อนโต๊ะ
  17. เหล้าจีน 2 ช้อนโต๊ะ
  18. น้ำจิ้มซีฟู๊ดตามชอบ
กุ้งอบวุ้นเส้น

ขั้นตอนวิธีทำ กุ้งอบวุ้นเส้นในกระทะ

  1. ขั้นตอนแรกในการทำ กุ้งอบวุ้นเส้นแบบง่ายๆ ตั้งกระทะเปิดเตาด้วยไฟกลางแล้วใส่หมูสามชั้นลงไปเจียวให้หมูสุกเหลือง และคายน้ำมันออกมา จากนั้นใส่ขิงแก่ กระเทียม รากผักชี และชวงเจียลงไปผัดต่อให้ส่งกลิ่นหอม
  2. ปรับไฟเป็นไฟอ่อนแล้วปรุงรสด้วยซอสหอยนางรม ซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วดำหวาน เหล้าจีน น้ำมันงา น้ำตาลทราย และพริกไทยป่น ปรับเป็นไฟแรงแล้วผัดคลุกเคล้าให้ส่วนผสมเข้ากันดี ตามด้วยน้ำเปล่าไปผัดต่อให้เดือด และใส่วุ้นเส้นลงไปผัดให้คลุกเคล้าให้ซอสเข้าเส้น ปิดฝาอบให้วุ้นเส้นดูดน้ำสักครู่ (ระหว่างนี้ให้เปิดฝาคนเล็กน้อย เพื่อไม่ให้วุ้นเส้นด้านล่างไหม้)
  3. เมื่อส่วนผสมได้ที่แล้วให้ใส่กุ้งที่เตรียมไว้ลงไปคนให้เข้ากัน และปิดฝาอบไว้สักครู่ สุกแล้วให้ใส่ขึ้นช่าย และต้นหอมลงไป ก่อนจะปิดฝาอบต่อสักครู่ และปิดเตาตักใส่จานเสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มซีฟู๊ดได้เลยค่ะ
กุ้งอบวุ้นเส้น

สำหรับเมนูกุ้งอบวุ้นเส้น ดูจากวัตถุดิบส่วนผสมที่มากมายแล้วเหมือนจะยาก แต่วิธีการทำ กุ้งอบวุ้นเส้นในกระทะ นั้นมีเพียงสามขั้นตอนง่ายๆเท่านั้น นอกจากนี้ยังสามารถนำสูตรนี้ไปประยุกต์ทำ กุ้งอบวุ้นเส้นในหม้อหุงข้าว ได้อีกด้วย เหมาะสำหรับคนที่อยู่หอพัก หรือคอนโด ไม่ต้องเตรียมอุปกรณ์มากมายเลยค่ะ

ufaball.bet เว็บพนันออนไลน์ เว็บตรง ฝากถอนได้ไม่มีขั้นต่ำ

READ MOREREAD MORE
ผัด เปรี้ยวหวาน หมู

ผัด เปรี้ยวหวาน หมู สูตรอาหารไทยหลากสีสันผัด เปรี้ยวหวาน หมู สูตรอาหารไทยหลากสีสัน

ผัด เปรี้ยวหวาน หมู

รู้หรือไม่ว่าแท้จริงแล้วเมนู ผัด เปรี้ยวหวาน หมู ไม่ใช่ เมนูอาหารไทย แท้ดั้งเดิม แต่เป็นอาหารที่ได้รับอิทธิพลมาจากประเทศจีน ผสมผสานกับการปรุงรสแบบตะวันตก และนำมาปรับเพิ่มความเปรี้ยว และหวานตามความชอบของคนไทย จนเวลาต่อมาก็กลายเป็น เมนูยอดนิยม ที่หลายๆคนชื่นชอบ เพราะรสชาติที่อร่อยครบรส มีความแตกต่างจากอาหารไทยทั่วไป และไม่ว่าจะดัดแปลงไปใช้เนื้อสัตว์ใดในการทำก็ออกมาอร่อยถูกปาก 

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำ ผัด เปรี้ยวหวาน หมู เมนูเด็ดที่ทั้งอร่อย และมีประโยชน์

ผัดเปรี้ยวหวานหมูเดิมทีนั้นมีต้นกำเนิดที่กวางโจว ประเทศฮ่องกง ซึ่งเป็นที่รู้ดีกันอยู่แล้วว่าชาวจีนจะมีความเชื่อกันเกี่ยวกับเรื่องการกินอาหารเป็นยา ดังนั้น ผัดเปรี้ยวหวานสูตรโบราณ จึงเป็นอาหารที่มีประโยชน์ เนื่องจากทำจากผักและผลไม้นานาชนิด ประกอบไปด้วยวิตามิน เกลือแร่ สารแคโรทีน และสารอาหารอีกมากมายที่ดีต่อสุขภาพ แถมยังเป็น อาหารไทยง่ายๆ ที่รสชาติอร่อยเปรี้ยวหวานกลมกล่อมอีกด้วยนะ

วัตถุดิบทำ ผัดเปรี้ยวหวานหมู ง่ายๆ

  1. เนื้อหมูติดมัน 200 กรัม
  2. กระเทียมสับ 2 กรีบ
  3. ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
  4. ซอสฝาเขียว 1 ช้อนโต๊ะ
  5. น้ำปลา 1/2 ช้อนโต๊ะ
  6. รสดี 1 ช้อนโต๊ะ
  7. น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ
  8. ซอสมะเขือเทศ 1 ช้อนโต๊ะ
  9. แตงกวาหั่นชิ้น 8 ลูก
  10. สับปะรดหั่นชิ้น 200 กรัม
  11. มะเขือเทศหั่นชิ้น 1 ลูก
  12. หอมใหญ่ซอย 1 หัว
  13. พริกชี้ฟ้าแดงซอย 1 เม็ด
  14. พริกหยวกซอย 1 เม็ด
  15. ต้นหอมหั่นชิ้น 2 ต้น

ขั้นตอนวิธีทำ สูตร ผัดเปรี้ยวหวานหมู

  1. ขั้นตอนแรกในการทำผัดเปรี้ยวหวานหมู สับปะรด เริ่มจากการใส่น้ำมันลงไปในกระทะ เปิดเตารอให้ร้อนแล้วใส่กระเทียมสับลงไปผัดให้หอม ตามด้วยเนื้อหมูติดมันลงไปผัดคลุกเคล้าให้เข้ากัน 
  2. หลังจากเนื้อหมูสุกแล้วใส่แตงลงไปผัดต่อ ตามด้วยสับปะรดเพิ่มรสเปรี้ยว หอมหัวใหญ่ มะเขือเทศ พริกชี้ฟ้าแดง และพริกหยวกผัดให้เข้ากัน (ในขั้นตอนนี้หากแห้งเกินไปสามารถใส่น้ำลงไปเพิ่มได้)
  3. ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว ซอสฝาเขียว น้ำปลา ผงปรุงรส น้ำตาลทราย และซอสมะเขือเทศ ผัดให้เครื่องปรุงรสเข้าเนื้อ รอให้ส่วนผสมทั้งหมดสุก โรยหน้าด้วยต้นหอม ปิดเตาจัดเสิร์ฟพร้อมข้าวสวยร้อนๆได้เลยค่ะ
ผัด เปรี้ยวหวาน หมู

จบกันไปแล้วกับสูตร อาหารไทยทำง่าย ที่มีชื่อว่าผัดเปรี้ยวหวานหมู เมนูแสนอร่อยที่ทานได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ หากใครชอบเนื้อสัตว์อื่นๆก็สามารถใช้สูตรนี้ไปปรับใช้ได้ง่ายๆ เพียงเปลี่ยนวัตถุดิบของเนื้อ เพิ่มประโยชน์ให้มื้ออาหารเพื่อคนที่คุณรัก ด้วยการทำ อาหารเพื่อสุขภาพ นะคะ

สนับสนุนโดย : https://sa-game.bet/

READ MOREREAD MORE
หลนปู

หลนปู เมนูเครื่องจิ้มไทยโบราณ รสชาติเข้มข้นหอมมันละมุนหลนปู เมนูเครื่องจิ้มไทยโบราณ รสชาติเข้มข้นหอมมันละมุน

หลนปู

หลนปู เมนูอาหารไทย โบราณที่อยากเชิญชวนให้ได้ลิ้มลองกันดูสักครั้ง อาหารไทยง่ายๆ ที่มีเอกลักษณ์กว่าเครื่องจิ้มทั่วไปคือ การนำเอาวัตถุดิบอย่างของหมักดองรสเปรี้ยว หรือเค็ม เช่น เต้าเจี้ยว ปูเค็ม กะปิ หรือแม้แต่ปลาร้า มาผสมผสานปรุงรสกับหัวกะทิได้อย่างเข้ากัน ทำให้มีรสชาติอร่อยเข้มข้น นิยมนำมารับประทานคู่กับผักเครื่องเคียงชนิดต่างๆ จัดเรียงเป็นสำรับ ในสมัยก่อนนั้นนิยมทำไปถวายพระ ประกอบงานบุญ และงานมงคล

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำ หลนปู อาหารไทยชาววังที่อร่อยครบรส

หลนปู คือ เครื่องจิ้มชาววังที่ส่งต่อสูตรมาตั้งแต่สมัยโบราณ หลนปูมีความคล้ายคลึงกันกับน้ำพริก แตกต่างกันที่รสชาติไม่เผ็ดเหมือนอย่างน้ำพริกทั่วไป เมื่อรับประทานหลนปูเค็ม สูตร โบราณ เข้าไปแล้ว จะสัมผัสได้ถึงรสชาติเปรี้ยว เค็ม หวาน พร้อมๆกับความหอมมันของกะทิ เรียกว่าอร่อยครบรสเลยทีเดียว ในส่วนของวัตถุดิบและขั้นตอนการทำเมนูนี้ก็ถือว่าง่าย แม้จะเป็นมือใหม่ก็สามารถทำได้ โดยใช้สูตรง่ายๆเพียงสองขั้นตอน 

วัตถุดิบทำ หลนปูเค็ม

  1. ปูเค็ม (แกะปอดออก และล้างให้สะอาด) 5 ตัว 
  2. เนื้อหมูบด 200 กรัม 
  3. น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ 
  4. พริกขี้หนูสวน ½ ถ้วย 
  5. พริกชี้ฟ้าสามสีซอย 6 เม็ด 
  6. ตะไคร้ซอย 2 ต้น 
  7. กะทิ 350 มิลลิลิตร 
  8. น้ำมะขามเปียก 1 ½ ช้อนโต๊ะ
  9. หอมแดงซอย 8 หัว 
  10. ใบมะกรูดซอย 3 ใบ
  11. ผักเครื่องเคียงตามชอบ
หลนปู

ขั้นตอนวิธีทำ ปู หลน ชาววัง

  1. ขั้นตอนแรกใส่กะทิลงไปในกระทะ เปิดเตาด้วยไฟอ่อนค่อนกลางให้กะทิเริ่มเดือด จากนั้นใส่หมูบดลงไปรวนจนเข้ากันกับกะทิ ส่วนผสมเริ่มสุกแล้วใส่หอมแดงลงไปเคี่ยวต่อให้สุกส่งกลิ่นหอม 
  2. เมื่อเคี่ยวจนได้ที่แล้วใส่ปูเค็มที่เตรียมไว้ลงไป สุกแล้วให้ใส่น้ำตาลปี๊บลงไปผัดให้ละลาย ปรุงรสต่อด้วยน้ำมะขามเปียก พริกชี้ฟ้าสามสี พริกขี้หนูสวน และตะไคร้ซอย เคี่ยวต่อให้ส่วนผสมส่งกลิ่นหอม น้ำเริ่มงวดมีความเข้มข้น จากนั้นโรยหน้าด้วยใบมะกรูดซอย ปิดเตาและจัดเสิร์ฟพร้อมผักเครื่องเคียงได้เลย
หลนปู

บทสรุป

หลนปูสูตรอาหารไทย มีเคล็ดลับทำให้อร่อยง่ายๆ คือ ในขั้นตอนการหลนกะทิต้องระวังไม่ให้กะทิแตกมัน และหากรสชาติที่ได้ยังไม่เค็มถูกใจก็ให้เติมเกลือลงปรุงรสได้เล็กน้อย แต่ไม่ต้องใส่น้ำปลานะคะ เพราะจะทำให้มีกลิ่นคาวได้ ซึ่งหากใครอยากใส่วัตถุดิบอื่นๆก็สามารถทำได้ เช่น หลนปูนา หลนปูทะเล ฯลฯ โดยใช้วัตถุดิบและสูตรเดียวกันค่ะ

สนับสนุนโดย : https://hilospec.com/

READ MOREREAD MORE
สูตรหมูทอด

สูตรหมูทอด กรอบนอกนุ่มใน เมนูทำง่ายรสชาติเข้มข้นเข้าเนื้อสูตรหมูทอด กรอบนอกนุ่มใน เมนูทำง่ายรสชาติเข้มข้นเข้าเนื้อ

สูตรหมูทอด

หมูทอด เมนูคู่บ้านคู่เมืองคนไทยมาช้านาน เป็นอาหารทำง่าย ที่ทุกบ้านต้องเคยทำรับประทานกันในครัวเรือน โดยมี สูตรหมูทอด ที่แตกต่างกันออกไปตามความชอบของแต่ละคน ยกตัวอย่างเช่น สูตรหมูทอดโบราณ , หมูทอดวังหลัง , หมูทอดพริก , หมูทอดกรอบ ๆ , หมูทอดสมุนไพร ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีหมูทอดสูตรบ้าน ๆ ที่หมักด้วยส่วนผสมเพียงไม่กี่อย่าง แต่รสชาตินั้นอร่อยเข้มข้นจนหยุดทานไม่ได้เลยทีเดียว

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีการทำ สูตรหมูทอด รสเด็ด

สูตรหมูทอด แต่ละสูตรนั้นจะใช้วัตถุดิบในการทำที่แตกต่างกัน เพื่อให้ได้รสชาติที่อร่อยตามความชอบของคนทำ หรือคนรับประทาน แต่สิ่งที่เหมือนกันของ เมนูหมูทอด คือวัตถุดิบบางอย่าง และขั้นตอนการทำที่ง่าย ไม่วุ่นวาย เพียงแค่เตรียมส่วนผสมให้พร้อมก่อนนำมาหมักหมูให้เข้าเนื้อ ซึ่งอาจจะใช้เวลาเสียหน่อยเพื่อให้ส่วนผสมเข้าเนื้อ (บอกเลยว่าหมูทอดยิ่งหมักนานยิ่งอร่อย) โดยสูตรของเราในบทความนี้เป็น สูตรหมูทอดขายดี ที่ไม่ว่าใครทำทาน หรือทำขาย ก็หมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ

วัตถุดิบ

  1. เนื้อหมู 1 กิโลกรัม
  2. นมสด 2 ช้อนโต๊ะ
  3. แป้งมัน 2 ช้อนโต๊ะ
  4. น้ำตาลปี๊บ 2 ช้อนโต๊ะ
  5. กระเทียมสับ 2 ช้อนโต๊ะ
  6. พริกไทยดำบด 2 ช้อนโต๊ะ
  7. น้ำตาลทรายแดง 2 ช้อนโต๊ะ
  8. ผงปรุงรส 2 ช้อนโต๊ะ
  9. ซอสปรุงรสฝาเขียว 2 ช้อนโต๊ะ
  10. ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
  11. น้ำมันหอย 2 ช้อนโต๊ะ
  12. แป้งโกกิ 1 ถ้วยตวง
  13. น้ำเปล่า ½ ถ้วยตวง
  14. น้ำปูนใส 2 ช้อนโต๊ะ
  15. น้ำมันสำหรับทอดหมู
สูตรหมูทอด

ขั้นตอนวิธีทำหมูทอด สูตรกรอบนอกนุ่มใน

  1. ขั้นตอนแรกของ สูตรหมูทอด คือ การเตรียมวัตถุดิบสำหรับหมักหมู เริ่มจากการใส่น้ำตาลปี๊บลงไปในชามผสม ตามด้วยน้ำมันหอย กระเทียมสับ พริกไทยดำป่น น้ำตาลทรายแดง ผงปรุงรส ซีอิ๊วขาว ซอสปรุงรสฝาเขียว นมสด และแป้งมัน จากนั้นคลุกเคล้าส่วนผสมให้ละลายเข้ากัน 
  2. นำเนื้อหมูใส่ลงไปในเครื่องหมักที่เราเตรียมไว้ ใช้มือหมักส่วนผสมให้เข้าเนื้อ เสร็จแล้วพักไว้อย่างน้อย 3 ชั่วโมง หรือข้ามคืน 
  3. เมื่อรอจนครบเวลาแล้วให้นำแป้งโกกิมาผสมกับน้ำเปล่า ใช้ช้อนชนให้ส่วนผสมละลายเข้ากันดี จากนั้นใส่น้ำปูนใสลงไปผสมเพื่อเสริมให้ หมูทอดกรอบ จากนั้นนำเนื้อหมูที่หมักเอาไว้มาแช่ในส่วนผสมของแป้ง
  4. ตั้งกระทะด้วยไฟกลางใส่น้ำมันให้ร้อนแล้วใส่หมูลงไปทอดจนสุกเหลืองกรอบ (ระหว่างรอให้ตักเศษแป้งที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำมันออกมาพักไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน) สุกแล้วนำไปพักไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน หั่นเป็นชิ้นพอดีคำนำ หมูทอดนุ่ม ๆ กรอบ ๆ  ไปทานกับน้ำจิ้มแจ่ว และข้าวเหนียวร้อน ๆ ได้เลยค่ะ
สูตรหมูทอด

ใครที่ได้ลองทำสูตรหมูทอด สูตรนี้กันไปแล้ว ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าอร่อย กรอบด้านนอก นุ่มด้านใน รสชาติของเครื่อง หมักหมูทอด ที่เข้าเนื้อ ผสานเข้ากับรสกระเทียมเจียวแล้วเข้ากันเป็นอย่างดี หากได้นำ หมูทอดสูตรเด็ด ไปทานพร้อมกับน้ำจิ้มแจ่วแล้วละก็ มื้ออาหารธรรมดาจะกลายเป็นมื้อพิเศษในทันที และยังสามารถนำสูตรนี้ไปใช้เป็นเมนูกับแกล้มได้อีกด้วย

READ MOREREAD MORE
สูตรไก่ทอดหาดใหญ่

สูตรไก่ทอดหาดใหญ่ เมนูยอดนิยมที่สามารถทำทานเองได้ง่าย ๆสูตรไก่ทอดหาดใหญ่ เมนูยอดนิยมที่สามารถทำทานเองได้ง่าย ๆ

สูตรไก่ทอดหาดใหญ่

เชื่อว่า ณ เวลานี้คงไม่มีใครไม่รู้จักเมนูอาหารยอดนิยมอย่าง ไก่ทอดหาดใหญ่ ซึ่งมีขายอยู่แทบทุกภาคในประเทศไทย ด้วยความนิยมนี้จึงทำให้เกิด สูตรไก่ทอดหาดใหญ่ ขึ้นมามากมายหลากหลายสูตร แต่ละสูตรก็จะมีความอร่อยที่แตกต่างกันออกไป เรียกได้ว่าไม่มี สูตรไก่ทอด ที่ตายตัว แต่เป็นเมนูที่รู้กันเป็นอย่างดีว่า ต้องมีกลิ่นหอมหวนชวนรับประทาน ผสานกับรสชาติเข้มข้นที่ผ่านการหมักด้วยเครื่องเทศนา ๆ ชนิดมาอย่างเข้าเนื้อ 

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีการทำ สูตรไก่ทอดหาดใหญ่ เนื้อกรอบนอกนุ่มใน

สูตรไก่ทอดหาดใหญ่นอกจากจะมีหลายสูตร เช่น สูตรไก่ทอดหาดใหญ่ของแท้ , ไก่ทอดหาดใหญ่ สูตรดั้งเดิม ยังมีเรื่องเล่าบอกต่อกันมาถึงที่มาของเมนู ไก่ทอด นี้อยู่หลายเรื่อง บ้างก็ว่าเกิดจากคู่สามีภรรยา พ่อค้าแม่ค้าขายไก่ ในอำเภอหาดใหญ่ ได้เป็นผู้คิดค้นสูตรนี้ขึ้นมา บ้างก็บอกว่าเกิดจากชาวมุสลิมที่ทานไก่อยู่เป็นประจำอยู่แล้วได้นำมาทำขาย ฯลฯ แต่ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าใครเป็นผู้คิดค้นขึ้นมากันแน่ หากใครอยากลองทำทานด้วยตัวเอง เราก็ไม่พลาดที่จะหยิบยกสูตรมาแบ่งปันให้ได้ลองทำตามกัน

วัตถุดิบ

  1. น่องไก่ และปีกไก่ 1 กิโลกรัม
  2. พริกไทยขาว 1 ช้อนโต๊ะ
  3. ลูกผักชี 1 ช้อนชา
  4. ยี่หร่า 1 ช้อนชา
  5. กระเทียม 5 กลีบ
  6. รากผักชี 3-4 ราก
  7. ซอสหอยนางรม 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
  8. ซีอิ๊วขาว 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
  9. เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
  10. น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
  11. แป้งสาลี 1/2 ถ้วย
  12. น้ำปูนใส แช่เย็น 1/4 ถ้วย
  13. น้ำมันสำหรับทอด
สูตรไก่ทอดหาดใหญ่

ขั้นตอนวิธีทำไก่ทอดใหญ่

  1. ขั้นตอนแรกนำพริกไทยขาว ลูกผักชี ยี่หร่า กระเทียม รากผักชี เกลือ ซอสหอย ซีอิ๊วขาว และน้ำตาลทรายไปปั่นรวมกันให้พอหยาบ (หากใครไม่มีเครื่องปั่น สามารถโขลกด้วยครกแทนได้) 
  2. สูตรหมักไก่ทอดหาดใหญ่ เริ่มจากการนำเนื้อไก่ใส่ภาชนะมีฝาปิดแล้วใช้ส้อมจิ้มเนื้อไก่ในชามผสมให้ทั่ว ก่อนจะนำส่วนผสมในขั้นตอนที่ 1 มาหมักไก่ เสร็จแล้วปิดฝาภาชนะนำไปเก็บไว้ในตู้เย็นเป็นเวลาอย่างน้อย 3 ชั่วโมง 
  3. เมื่อรอจนครบเวลาแล้วให้นำไก่ออกมาใส่แป้งสาลี และน้ำปูนใสแช่เย็น คนให้เข้ากันก่อนนำไปทอด
  4. ตั้งกระทะใส่น้ำมันให้เดือดแล้วนำไก่ลงไปทอดได้เลย เมื่อสุกเท่ากันทั้งสองด้านแล้วให้ตักขึ้นมาพักไว้ในตะแกรงให้สะเด็ดน้ำมัน โรยหน้าด้วยหอมเจียว เป็นอันเสร็จสิ้นสูตรไก่ทอดหาดใหญ่
สูตรไก่ทอดหาดใหญ่

สำหรับสูตรไก่ทอดหาดใหญ่ เมนูเด็ดเมนูดังในบทความนี้ เป็นเมนูที่ง่าย และอร่อยเข้าเนื้อตามเอกลักษณ์ของเมนูนี้ สามารถทำรับประทานได้อย่างไม่มีเบื่อ หรือจะนำสูตรนี้ไปทำเป็น สูตรหมักไก่ทอดขาย ก็สามารถทำได้ แต่หากใครไม่สะดวกเตรียมเครื่องหมักไก่ ในปัจจุบันก็มี ผงหมักไก่ทอดหาดใหญ่ เข้ามาช่วยลดเวลาในการทำ และเพิ่มความสะดวกสบายของมื้ออาหารของเรา

READ MOREREAD MORE

มัดรวมสูตรหมูปิ้งแสนอร่อย ทำทานเองได้ ทำขายปัง ๆมัดรวมสูตรหมูปิ้งแสนอร่อย ทำทานเองได้ ทำขายปัง ๆ

มัดรวมสูตรหมูปิ้งแสนอร่อย ทำทานเองได้ ทำขายปัง ๆ

ฮอทดอกคร็อกเมอซิเยอ, หมูกรอบออลสไปซ์ไร้มัน, ข้าวเหนียวหมูปิ้ง, เลมอนบาร์

เนื้อสัตว์ย่างไฟแล้วเกิดกลิ่นหอมคละคลุ้งไปทั่ว อาหารปิ้งย่างจึงเป็นอาหารยอดนิยมของคนในประเทศไทย โดยเฉพาะหมูปิ้งรสชาติอร่อย ๆ ที่สามารถทานได้อย่างสะดวกรวดเร็วในเวลาเร่งรีบ ไม่ว่าสถานการณ์ไหน ๆ เวลาใด ก็นำหมูปิ้งติดไม้ติดมือไปรับประทานได้ในทุกที่ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ในปัจจุบันมีการขายหมูปิ้งให้เห็นอยู่ทั่วไป โดยใช้สูตรวิธีการทำที่ทั้งเหมือน และแตกต่างกัน เนื่องจากความนิยมนี้ทำให้เกิดการคิดค้น สูตรหมูปิ้ง ขึ้นมามากมาย เราจึงได้รวมเอาสูตรเหล่านี้มาแชร์ให้ได้ทำตามกัน

ทำความรู้จักสูตรหมูปิ้ง เมนูปิ้งย่างยอดนิยมของคนไทย

หากกล่าวถึง “ข้าวเหนียวหมูปิ้ง” แล้วละก็เชื่อว่าไม่มีใครไม่รู้จัก และน้อยคนนักที่จะไม่เคยทาน อยู่ที่ว่าหมูปิ้งที่รับประทานนั้นจะมีความอร่อยที่แตกต่างกันมากน้อยเพียงใด โดยหมูปิ้ง คือ การนำเอาหมูมาหมักด้วยเครื่องปรุงต่าง ๆ เพิ่มรสชาติ ก่อนจะนำไปเสียบไม้ ย่างไฟให้ส่งกลิ่นหอมหวนชวนรับประทาน โดย สูตรหมูปิ้ง ในประเทศไทยก็ต้องบอกเลยว่ามีเยอะมาก ๆ ความอร่อยเหล่านี้ทำให้ได้รับความนิยมแบบสุด ๆ ทำให้เกิดอาชีพสร้างรายได้เข้ากระเป๋าได้มากมาย โดยเฉพาะเมนูขึ้นชื่อที่ขายดิบขายดีอย่าง สูตรหมูปิ้งสุโขทัย

ส่องไอเดีย "หมูปิ้ง" ห่อใบตอง กินคู่ข้าวเหนียวก่ำ  จนลูกค้ายกให้เป็นเมนูเพื่อสุขภาพ

วัฒนธรรมปิ้งย่าง เกิดขึ้นเมื่อใด

แม้ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่า สูตรหมูปิ้ง เกิดขึ้นเมื่อใด และใครเป็นผู้ริเริ่ม แต่การทำอาหารโดยการใช้ไฟมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ การปิ้งย่าง นี้ในหลักฐานทางประวัติศาสตร์พบว่า วัฒนธรรมการปิ้งย่าง เกิดขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 17 โดยชาวเผ่าอาราวัก ในเขตประเทศอเมริกาใต้ และแคริบเบียน ผู้คนเหล่านี้ได้มีการนำเนื้อสัตว์ที่หามาได้มาย่างกับไฟ (วางไว้กับกองไม้) และเรียกกันว่า BARBACOA จนกระทั่งเวลาต่อมาในศตวรรษที่ 18 สเปนได้เข้ามาเป็นเจ้าของอาณานิคม จึงได้มีการปิ้งย่างหมูทั้งตัว โดยใช้เวลาประมาณ 14 ชั่วโมงเลยทีเดียว

ประโยชน์ของการทานข้าวเหนียวหมูปิ้ง

สูตรหมูปิ้ง ที่นิยมรับประทานกับข้าวเหนียวร้อน ๆ เมนูเร่งด่วนของคนไทยเป็น อาหารที่มีประโยชน์ เมื่อรับประทานไปแล้วจะได้ประโยชน์จากเนื้อหมูที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่ดีต่อร่างกาย ยกตัวอย่างเช่น วิตามิน และแร่ธาตุจากเนื้อหมู มีทั้งวิตามินบี 1 วิตามินบี 3 ซึ่งช่วยลดอาการเหน็บชา บำรุงสายตา สายตา ลดไขมัน และการอักเสบของผิวหนัง นอกจากนั้นยังมีเป็น อาหารที่มีโปรตีน และสารอาหารอื่น ๆ ที่มีประโยชน์ แต่ต้องควบคู่กับการทานอาหารให้ครบ 5 หมู่นะคะ

แจกสูตรหมูปิ้ง ที่คุณก็สามารถทำทานได้ด้วยตัวเอง

หลังจากได้ทำความรู้จักกับ เมนูหมูปิ้ง กันมาพอสมควรแล้ว ต่อไปเราจะขอแนะนำ สูตรหมูปิ้ง ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศไทย ที่ทุกคนสามารถทำตามเองได้ง่าย ๆ มีทั้ง หมูปิ้ง ฉ่ำ ๆ เนื้อนุ่ม ๆ และสูตรแบบเนื้อแห้ง ๆ แบบดั้งเดิม ซึ่งจะเป็นการนำเอา สูตรหมูปิ้ง วิธีการทำหมูปิ้งตั้งแต่ขั้นตอนแรก จนถึงขั้นตอนสุดท้าย รับรองได้เลยว่า อร่อย เด็ด แน่นอน หากพร้อมกันแล้ว ไปดูสูตรง่าย ๆ ของเรากันเลยค่ะ

หมูปิ้งโบราณ แบบดั้งเดิม อร่อยไม่แพ้หมูปิ้งสมัยใหม่

สำหรับสูตรแรกนี้ เป็น หมูปิ้งดั้งเดิม ที่หาทานได้ยากมากแล้ว จึงควรค่าแก่การทำรับประทานเองที่บ้าน ไม่ต้องตากแดดตากลมไปซื้อด้วยตัวเอง โดยเป็น หมูปิ้งแห้ง ๆ ไม่ติดมัน ใส่กะทิ มีลักษณะเป็นเนื้อหมูสันชิ้นใหญ่ มีมันหมูเสียบตรงไม้เพียงชิ้นเดียวเท่านั้น เหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบทานมันหมู และกำลังลดน้ำหนัก แต่สำหรับ สูตรหมูปิ้ง สูตรนี้จะมีเครื่องปรุงที่เยอะกว่าหมูปิ้งสูตรอื่น ๆ 

หมูปิ้งโบราณยายต๋อย! ลงทุน 3,000 กำไร 30,000 เปิดร้านได้ทันที! by  ThaiFranchiseCenter.com

วัตถุดิบหมูปิ้งสูตรโบราณ

  1. เนื้อหมูติดมัน 1 กิโล 
  2. น้ำตาลมะพร้าว 200 กรัม
  3. น้ำมันหอย 3 ช้อนโต๊ะ
  4. ซอสภูเขาทอง 3 ช้อนโต๊ะ
  5. ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
  6. กระเทียม 5 กลีบ
  7. รากผักชี 5 ราก
  8. พริกไทย 1 ช้อนชา
  9. แป้งมัน 1 ช้อนโต๊ะ
  10. เกลือเม็ดใหญ่ 2 ช้อนชา 
  11. ผงปรุงรส 1ช้อนโต๊ะ
  12. หัวกะทิ 200 มิลลิลิตร
  13. รสดีหมู 1 ช้อนโต๊ะ

ขั้นตอนวิธีการทำสูตรหมูปิ้งโบราณ

  1. ขั้นตอนแรกในการทำ สูตรหมูปิ้งกะทิ ใส่พริกไทย กระเทียม และรากผักชีลงไปโขลกในครกให้ละเอียด
  2. หมักเนื้อหมู โดยเริ่มการใส่สามเกลอที่โขลกไว้ เกลือ ซอสภูเขาทอง ซีอิ๊วขาว น้ำมันหอย น้ำตาลรสดีหมู และผสมหัวกะทิ และแป้งมันให้เข้ากัน ก่อนจะนำไปใส่เป็นส่วนผสม และนวดคลุกเคล้าให้ส่วนผสมละลายเข้าเนื้อประมาณ 15 นาที และปิดฝาแช่ไว้ในตู้เย็นเป็นเวลา 1 คืน 
  3. นำไม้เสียบหมูปิ้งไปแช่น้ำไว้ ก่อนจะนำมาเสียบหมูให้สวยงาม เสร็จแล้วนำไปย่างด้วยไฟ และทาด้วยหัวกะทิให้ทั่วในระหว่างย่างทั้งสองด้าน เป็นอันเสร็จสิ้น สูตรหมูปิ้งกะทิโบราณ

สูตรหมูปิ้ง ทำขายรายได้ดี ต้นทุนถูก

ต่อมาเป็น สูตรหมูปิ้ง เอาใจคนที่อยากทำเมนูปิ้งย่างขายด้วยต้นทุนที่แสนถูก โดยสามารถทำขายด้วยราคาถูก เน้นปริมาณในการขาย เป็น สูตรหมูปิ้ง ไม้ละ 5 บาท หรือ สูตรหมูปิ้งไม้ละ 3 บาท ที่ได้รับความนิยมทำขายมากในประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วงเวลาเช้า ๆ ก่อนไปเรียน หรือทำงาน ที่ต้องประหยัดเวลาที่เร่งรีบเป็นพิเศษ ไม่พูดพร่ำทำเพลงค่ะ เราไปดูวัตถุดิบ และขั้นตอนการทำกันเลย

หาดใหญ่ | หมูปิ้งไม้ละ 2 บาท "หมูปิ้งเงินล้าน" || Hatyaifocus.com

วัตถุดิบหมูปิ้งทำขาย

  1. หมูสันนอกหั่นชิ้นเล็ก 1 กิโลกรัม
  2. มันหมูแบบแข็งหั่นชิ้นเล็ก 3 ขีด
  3. น้ำตาลทราย 2 ขีด
  4. รากผักชี 6 ราก
  5. กระเทียมจีน 7 กลีบ
  6. พริกไทย ครึ่งช้อนโต๊ะ
  7. น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
  8. หัวกะทิ 100 มิลลิลิตร.
  9. น้ำเปล่า 50 มิลลิลิตร.
  10. รสดีรสหมู ½ ช้อนโต๊ะ
  11. ซอสปรุงรส  2 ช้อนโต๊ะ
  12. ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
  13. ซีอิ๊วดำ ½ ช้อนโต๊ะ
  14. ซอสหอยนางรม 2 ช้อนโต๊ะ
  15. เกลือ ½ ช้อนชา
  16. แป้งมัน 2 ช้อนโต๊ะ
  17. เบคกิ้งโซดา ½ ช้อนชา

ขั้นตอนวิธีการทำ

  1. ขั้นตอนแรกนำพริกไทย รากผักชี และกระเทียมจีนมาโขลกให้ละเอียด
  2. ผสมกะทิกับน้ำให้เข้ากันในชามผสม ตามด้วยน้ำตาล สามเกลอที่เตรียมไว้ เกลือ แป้งมัน เบคกิ้งโซดา ซอสปรุงรส น้ำมันหอย ซอสหอยนางรม ซีอิ๊วดำ และซีอิ๊วขาว คนให้ส่วนผสมละลายเข้ากัน และใส่น้ำมันพืชลงไปคนอีกครั้ง
  3. นำส่วนผสมที่เตรียมไว้ในขั้นตอนที่ 2 ใส่ลงไปในเนื้อหมูในชามผสม นวดคลุกเคล้าให้น้ำซึมเข้าเนื้อหมู เสร็จแล้วใส่ภาชนะปิดฝาพักไว้ในตู้เย็น 3 ชั่วโมง ระหว่างนี้ให้นำไม้เสียบหมูแช่น้ำไว้เป็นเวลาเท่ากัน
  4. เมื่อรอจนครบเวลาแล้วให้นำหมูมาเสียบในไม้ ใส่เนื้อหมู 3 ชิ้น และมันหมู 2 ชิ้นสลับกัน และนำไปย่างให้หอม นำไปแช่ในตู้เย็น 1 คืน ก่อนการนำไปย่าง

บทสรุป

เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับ สูตรหมูปิ้ง ที่เราได้แนะนำกันไปแล้วทั้งสองสูตร ทั้งสูตรสำหรับคนที่อยาก ทำหมูปิ้ง ทานที่บ้าน และสำหรับคนที่อยาก ทำหมูปิ้งขาย สร้างอาชีพด้วย สูตรหมูปิ้ง ที่ต้นทุนต่ำ ทำง่ายกว่าที่คิดใช่ไหมละคะ แต่ขอแนะนำสักนิดก่อนจะจากกันในบทความนี้ คือ ให้ทานหมูปิ้งในปริมาณที่พอเหมาะ ควบคู่ไปกับการทานอาหารให้ครบทั้งห้าหมู่ เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงค่ะ เพราะอาหารปิ้งย่างมีทั้งประโยชน์ และโทษต่อร่างกาย

 

 

 

เว็บบอล

READ MOREREAD MORE

ดอกกะหล่ำผัดกุ้ง เมนูคีโตทำง่าย สำหรับคนรักสุขภาพดอกกะหล่ำผัดกุ้ง เมนูคีโตทำง่าย สำหรับคนรักสุขภาพ

ดอกกะหล่ำผัดกุ้ง เมนูคีโตทำง่าย สำหรับคนรักสุขภาพ

สวัสดีค่ะคนรักสุขภาพทุกคน ใครที่กำลังมองหาอาหารเพื่อสุขภาพไว้รับประทานในมื้อต่อ ๆ ไปอยู่ ไม่ว่าจะทานเพื่อให้สุขภาพดี หรือทานเพื่อลดน้ำหนัก เมนูนี้ก็ถือว่าเหมาะเลยค่ะ เพราะเราจะมาบอกต่อสูตรอาหาร เมนูคีโต จานด่วนที่สามารถทำได้ง่าย รวดเร็ว ไม่เปลืองเวลา ใช้วัตถุดิบ และเครื่องปรุงที่ถูกต้องตามหลักการทานอาหารคีโต แถมยังมีรสชาติอร่อยถูกปากถูกใจทุกคนแน่นอน ซึ่งเมนูที่เราจะกล่าวถึงในบทความนี้ก็คือ “ดอกกะหล่ำผัดกุ้ง” แต่ก่อนจะไปดูสูตรง่าย ๆ เราไปรู้จักกับการทานอาหารคีโตกันให้มากขึ้นก่อนดีกว่า

การทาน เมนูคีโต คืออะไร มีประโยชน์อย่างไรกับสุขภาพ

ในปัจจุบันการเลือกรับประทาน เมนูอาหารคีโตเจนิค (KETOGENIC) ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจของ คนรักสุขภาพ และคนที่อยากลดน้ำหนัก โดยไม่ต้องการพึ่งยาลดความอ้วนที่อาจมีสารอันตรายที่ไม่ดีต่อร่างกาย จนกลายเป็นเทรนด์ใหม่สำหรับคนลดน้ำหนักขึ้นมา ซึ่งการทาน เมนูคีโต คือ การทานอาหารที่เน้นปริมาณไขมันสูง โปรตีนปานกลาง และคาร์โบไฮเดรตในปริมาณน้อย สารอาหารเหล่านี้จะช่วยให้ร่างกายของเราดึงพลังงานจากส่วนต่าง ๆ มาใช้ทดแทน ยกตัวอย่างเช่น การดึงไขมันที่สะสมอยู่มาใช้

KETOGENIC DIET เทรนด์ใหม่สำหรับคนอยากผอม

วิธีลดน้ำหนัก ในปัจจุบันมีหลายวิธีให้เลือกใช้ เช่น ออกกำลังกาย ลดการทานไขมัน ขนมหวาน งดอาหารเย็น ฯลฯ ซึ่งการเลือกรับประทานอาหารตามเทรนด์มาแรงอย่าง การทาน อาหารคีโตเจนิค ไดเอต ก็เป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับคนลดน้ำหนัก เพราะเป็น เมนูคีโต ที่ลดการทานคาร์โบไฮเดรต และน้ำตาล เพิ่มการทานไขมันจากพืช หรือสัตว์แทน โดยเป้าหมายของการทานก็เพื่อให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะ KETOSIS นั้นเอง ซึ่งเป็นภาวะที่ร่างกายปราศจากน้ำตาลกลูโคส จึงดึงไขมันมาใช้เป็นพลังงานแทน

สาเหตุที่การรับประทานไขมันแบบคีโต ช่วยทำให้น้ำหลักลด

หลายคนอาจเกิดความสงสัย และแปลกใจว่าการรับประทาน เมนูคีโต ที่มีการทานไขมันเข้าไปในปริมาณสูง ทำไมจึงช่วยให้น้ำหนักลดได้ เราก็เตรียมคำตอบมาคลายข้อสงสัยด้วยเช่นกัน คือ หลังจากที่เราทาน อาหารคีโต เข้าไปแล้ว ร่างกายจะทำการสลายไขมัน เนื่องจากร่างกายรู้สึกเหมือนไม่ได้ทานอะไรเลย , ในกระบวนการสลายไขมันร่างกายจะเสียน้ำตามไปด้วย ซึ่งการสูญเสียน้ำช่วยให้น้ำหนักลดได้จริง และสุดท้ายหากเราไม่ทาน เมนูอาหารคีโต แล้วมีของเสียที่ชื่อว่า คีโตน ทำให้เราเบื่ออาหาร และรับประทานได้น้อยลง

ผลข้างเคียงของการทานอาหารคีโต

แม้ว่าการรับประทาน เมนูคีโต จะดีต่อสุขภาพ และช่วยให้เราสามารถ ลดน้ำหนัก ได้จริง แต่หากรับประทานมากจนเกินไป ก็อาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้ด้วยเช่นกัน เนื่องจากการรับประทานอาหารเดิม ๆ หรือ เมนูอาหาร ที่ขาดสารอาหารใด สารอาหารหนึ่งไปนาน ๆ จนไม่ครบทั้งห้าหมู่ จะทำให้ระบบในร่างกายของเราสูญเสียสมดุลในการทำงาน และอาจส่งผลอื่น ๆ ตามมา เช่น การขาดน้ำ และแร่ธาตุ , มวลกระดูก และกล้ามเนื้อลดลง , โยโย่เอฟเฟค ของคนที่ทานไม่ต่อเนื่อง เป็นที่มาของโรคอ้วน และโรคเบาหวาน ฯลฯ

คนที่ไม่ควรรับประทานเมนูเหล่านี้

หลังจากที่เราได้รู้จักกับผลข้างเคียงของการรับประทาน เมนูคีโต กันมาแล้ว เราจะขอบอกต่อถึงคนที่ไม่ควร ทานอาหารคีโต ได้แก่ คนที่เป็นโรคเบาหวานประเภที่ 1 หรือคนที่มีภาวะขาดฮอร์โมนอินซูลิน หากรับประทานคีโต จะทำให้เกิดภาวะเลือดในกรด และน้ำตาลในเลือดสูง , คนที่เป็นโรคไต คนเหล่านี้ต้องกินโปรตีนในปริมาณสูง หากไม่เพียงพออาจเกิดภาวะไตเสื่อมได้ , คนที่เป็นโรคตับ หากเข้าสู่ภาวะ คีโตซิส ทำให้ตับทำงานหนักกว่าเดิม สุดท้ายคือคนที่มีปัญหาการเผาผลาญไขมัน ทำให้เกิดความเสี่ยงของโรคต่าง ๆ 

ดอกกะหล่ำผัดกุ้ง ไอเดียเมนูคีโตที่มีประโยชน์

มาต่อกันที่ เมนูคีโตง่าย ๆ ที่เรานำมาแนะนำนั้นก็คือ ดอกกะหล่ำผัดกุ้ง เมนูคีโต แสนอร่อย ที่สามารถทำได้ง่าย ๆ ที่เราได้กล่าวถึงกันไปแล้วในข้างต้น เหมาะสำหรับมือใหม่หัดทานคีโต เนื่องจากใช้วัตถุดิบน้อย หาซื้อได้ง่ายทั่วไป รสชาติอร่อย และที่สำคัญดอกกะหล่ำที่เลือกใช้เป็นวัตถุดิบหลัก มีประโยชน์มากมาย ยกตัวอย่างเช่น ส่งเสริมรับบการย่อยอาหาร , ป้องกันโรคมะเร็ง , ช่วยเพิ่มความจำ , บำรุงกระดูก , สร้างสมดุลให้ฮอร์โมน , ดีต่อลำไส้ , เพิ่มการทำงานของภูมิคุ้มกัน ฯลฯ รู้อย่างนี้แล้วอย่าพลาดที่จะลองทำนะคะ

วัตถุดิบ

  1. ดอกกะหล่ำ 200 กรัม
  2. กุ้งสด ปริมาณตามชอบ
  3. เต้าเจี้ยวง่วนเชียงสูตร 1 2 ช้อนโต๊ะ
  4. น้ำตาลหญ้าหวาน 1 ช้อนชา
  5. น้ำเปล่า 100 มิลลิลิตร
  6. น้ำมันมะกอก เล็กน้อย
  7. พริกซอย ปริมาณตามชอบ
  8. กระเทียมสับ ปริมาณตามชอบ

ขั้นตอนวิธีการทำเมนูคีโตทำเองง่าย ๆ 

  1. ขั้นตอนแรกใส่น้ำมันมะกอกลงไปในกระทะ เปิดเตารอให้ร้อนแล้วใส่กุ้งสดลงไปผัดจนเกือบสุก จากนั้นใส่พริก และกระเทียมที่เตรียมไว้ลงไปผัดคลุกเคล้าให้เข้ากันจนส่งกลิ่นหอม และใส่ดอกกะหล่ำลงไปผัดอีกครั้ง จากนั้นเติมน้ำเปล่าลงไป 
  2. ปรุงรสด้วยเต้าเจี้ยวง่วนเชียงสูตร 2 และน้ำตาลหญ้าหวาน ผัดคลุกเคล้าให้เข้ากัน และปิดฝากระทะรอให้ผักสุกได้ที่ เสร็จแล้วนำออกมาตักใส่จานรับประทาน เมนูคีโต ลดน้ำหนัก ได้เลยค่ะ

สำหรับสูตรในการทำ ดอกกะหล่ำผัดกุ้ง สามารถนำเอาสูตรนี้ไปปรับใช้กับเนื้อสัตว์อื่น ๆ ได้ เช่น เนื้อหมู เนื้อปลา เนื้อไก่ ฯลฯ และปรับเพิ่ม ลดส่วนผสม และปรุงรสได้ตามชอบ จัดเป็น เมนูคีโต ที่เปี่ยมล้นไปด้วยประโยชน์มากมาย จากส่วนผสมที่เลือกใช้ค่ะ แถมวัตถุดิบยังมีราคาถูก ทำรับประทานได้อิ่มท้องในทุกวัน 

การรับประทานอาหาร เมนูคีโต ถือเป็นทางเลือกในการดูแลสุขภาพที่ดีอีกหนึ่งอย่าง แถมยังช่วยใน การลดน้ำหนัก ได้อีกด้วย แต่ทุกสิ่งเมื่อมีข้อดีก็ย่อมมีข้อเสียที่ตามมา สำหรับ มือใหม่เริ่มทานคีโต ควรนึกถึงโรคประจำตัวของตนเองก่อนว่าเหมาะสมกับการรับประทานหรือไม่ เพื่อป้องกันผลเสียที่จะตามมาในภายหลัง และที่สำคัญควรรับประทานอย่างเคร่งครัด เพราะหากรับประทานไม่ต่อเนื่อง อาจจะทำให้เกิดภาวะโยโย่ได้ด้วยเช่นกัน นอกจากนั้นยังจะส่งผลให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมา จึงควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ด้วย

 

 

เว็บบอล

READ MOREREAD MORE

ขนมตาล สูตรขนมไทยพื้นบ้าน กลิ่นหอม เนื้อนุ่ม ฟู สีเหลืองนวลขนมตาล สูตรขนมไทยพื้นบ้าน กลิ่นหอม เนื้อนุ่ม ฟู สีเหลืองนวล

ขนมตาล สูตรขนมไทยพื้นบ้าน กลิ่นหอม เนื้อนุ่ม ฟู สีเหลืองนวล

ขนมไทย เป็นของหวานที่แสดงถึงเอกลักษณ์วัฒนธรรมประจำชาติของไทยได้เป็นอย่างดี และเป็นสิ่งที่ส่งต่อสูตรกันมาจากรุ่นสู่รุ่นตั้งแต่สมัยโบราณ ส่งต่อความอร่อยมาจนถึงปัจจุบัน ขนมไทยส่วนใหญ่จึงมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน และน่าสนใจ เหมาะแก่การเรียนรู้ ทำความรู้จักขนมไทยแต่ละชนิด ในบทความนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับ “ขนมตาล” ขนมไทยยอดนิยมอีกหนึ่งชนิด พร้อมสูตรวิธีการทำขนมไทยง่าย ๆ ที่ใช้วัตถุดิบจาก ลูกตาล ที่ทั้งอร่อย และมีประโยชน์

แนะนำ ขนมตาล ขนมไทยทำง่าย รสชาติดี 

หากคุณเป็นมือใหม่ที่กำลังอยากลองทำขนมด้วยตนเอง แนะนำให้เริ่มทำจาก ขนมไทยง่าย ๆ ก่อน แล้วค่อยเริ่มไปทำขนมไทยอื่น ๆ ที่ต้องใช้ความประณีต ละเอียดในการทำ ซึ่ง ขนมตาล ก็ถือเป็นขนมที่ตอบโจทย์ให้กับมือใหม่ เป็น ขนมไทยพื้นบ้าน ที่สามารถทำได้ง่าย ๆ ใช้วัตถุดิบ และอุปกรณ์ในการทำน้อย ได้รับความนิยมทำกันทั่วทุกภาคของประเทศไทย โดยเฉพาะจังหวัดเพชรบุรีที่มีการปลูกต้นตาลมากที่สุดในประเทศไทย แต่ก่อนที่จะไปลองทำนั้นเราจะขอแนะนำเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับ ขนมตาล นี้ให้ได้รู้จักกันก่อน

ประวัติความเป็นมาของขนมตาล

ความหมายของขนมตาล คือ ขนมไทยดั้งเดิมที่ทำมาจากผลตาล ไม่มีประวัติที่บอกถึงความเป็นมาว่า เกิดขึ้นเมื่อใด และใครเป็นผู้คิดค้นขึ้นมาเป็นคนแรก แต่ ขนมตาล ได้รับการยกย่องให้เป็นขนมขึ้นชื่อในสมัยสุโขทัยเลยทีเดียว ซึ่งในสมัยนั้นจะใช้ส่วนผสมหลักที่มีอยู่ทั่วไป คือ แป้งข้าวเจ้า น้ำตาล เนื้อตาล และมะพร้าว จนกระทั่งต่อมาได้มีการปรับเปลี่ยนสูตรใหม่ โดยชาวอยุธยา ได้มีการนำส่วนผสมของไข่ใส่เข้าไปด้วย และในปัจจุบันยังมีการใช้ สูตรขนมตาล ดังกล่าวนี้อยู่ 

หน้าตา เนื้อสัมผัส และรสชาติของขนม

 

สำหรับใครที่ยังไม่รู้จัก และไม่เคยรับประทาน ขนมตาล มาก่อนเลย ต้องบอกเลยว่ามีลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง แตกต่างจาก ขนมไทย ชิ้นอื่น ๆ นั้นก็คือ เป็นขนมชิ้นเล็กสีเหลืองเข้ม เนื้อนุ่ม ฟู ทำมาจากเนื้อตาลสุก ผสมกับแป้งข้าวเจ้า และกะทิ โรยหน้าด้วยเนื้อมะพร้าวทึนทึกขูดฝอย รสชาติหวาน กลิ่นของขนมตาล หอม เนื้อสัมผัสนุ่มลิ้น เข้ากันได้ดีกับเนื้อมะพร้าวหวานมัน แต่ในปัจจุบันหา ขนมตาล ที่รสชาติดีได้ยากมาก เพราะปริมาณการปลูกต้นตาลในประเทศไทยที่ลดลงเรื่อย ๆ จึงหาเนื้อตาลสดได้ยาก

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำขนมตาล

เราจะพาทุกคนไปทำ ของหวานไทย ง่าย ๆ ที่สามารถทำเองได้แบบไม่งง เพราะมีการบอกขั้นตอนตั้งแต่วิธีการเตรียมเนื้อตาลสุก ไปจนถึงขั้นตอนวิธีการทำ ขนมตาล ซึ่งเป็นสูตรที่เหมาะสำหรับมือใหม่ และมือฉมัง ทำทานได้ ทำขายก็สร้างรายได้เสริมได้ อย่ารอช้าค่ะ ไปเตรียมวัตถุดิบ และดูขั้นตอนการทำ ขนมไทยทำง่าย กันเลย

วัตถุดิบในการเตรียมเนื้อตาลสุก

  1. ลูกตาลสุก 2 ลูก
  2. น้ำสะอาดสำหรับล้างเนื้อตาล
  3. เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ

วัตถุดิบในการทำหน้ามะพร้าว

  1. แป้งข้าวเจ้า 300 กรัม
  2. เนื้อตาลยี 200 กรัม
  3. หัวกะทิ 600 กรัม 
  4. ยีสต์ 2 ช้อนชา
  5. ผงฟู 1+1/2 ช้อนชา
  6. น้ำตาลทรายขาว 300 กรัม
  7. เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
  8. เนื้อมะพร้าวทึนทึกขูดเส้น ปริมาณตามชอบ
ขั้นตอนวิธีเตรียมเนื้อตาลสด
  • ขั้นตอนแรกนำลูกตาลสด 2 ลูกไปล้างน้ำให้สะอาด จากนั้นดึงขั้วตาลออกแล้วใช้มีดปลอกเปลือก และใช้มือดึงเปลือกสีดำออกให้หมด ดึงแกนแข็ง ๆ หรือใจตาลออก (ส่วนนี้หากแยกออกไม่หมดจะทำให้เนื้อตาลมีรสขม และเฝื่อน) และแยกส่วนของผลตาลใส่ในชามผสม
  • ต่อมาเป็น วิธีล้างเนื้อตาล เติมน้ำใส่ลงไปให้ท่วม ตามด้วยเกลือ (ช่วยลดความขม และเฝื่อนของเนื้อตาล) จากนั้นใช้มือคั้น และยีให้เนื้อตาลออกมาได้มากที่สุด เสร็จแล้วนำไปกรองด้วยตะแกรงใส่ลงในภาชนะอีกหนึ่งใบ
  • นำเนื้อตาลในภาชนะที่ผ่านการกรองแล้ว มาเทใส่ผ้าขาวบางทบ 2 ชั้น รองด้วยตะแกรง และรองด้วยชามผสม ทำการรวบผ้าเข้าหากันแล้วมัดไว้ ทิ้งไว้ 1 คืน เพื่อให้น้ำที่ปนอยู่ในเนื้อตาลไหลออกมาให้หมด เมื่อรอจนครบเวลา วิธีเก็บเนื้อตาลที่ยีแล้ว ให้นำไปใส่ในบรรจุภัณฑ์ที่มีฝาปิด เพื่อนำไปเป็นวัตถุดิบในการทำขนมต่อไป

ขั้นตอนวิธีทำขนมตาล

  • ขั้นตอนแรกใส่หัวกะทิลงไปในหม้อ ตามด้วยน้ำตาลทราย และเกลือป่น เปิดเตาต้มด้วยไฟอ่อนให้ส่วนผสมละลายเข้ากัน เสร็จแล้วปิดเตานำไปพักไว้ให้เย็นสนิท
  • ผสมแป้งข้าวเจ้ากับยีสต์ให้เข้ากัน และใส่เนื้อตาลทั้งหมดที่เตรียมไว้ลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากันจนได้ลักษณะคล้ายเม็ดทราย จากนั้นทยอยใส่น้ำกะทิที่เตรียมไว้ลงไปนวดทีละนิด จนแป้งจับตัวเป็นก้อน และนวดต่อเป็นเวลา 30 นาที จนเนื้อแป้งเนียนได้ที่ และทยอยใส่น้ำกะทิที่เหลือลงไปละลายแป้งอีกครั้งให้เหนียวข้น จนกว่าน้ำกะทิที่เตรียมไว้จะหมด ใช้แผ่นฟิล์มถนอมอาหารห่อชามผสมแล้วพักแป้งไว้ในบริเวณที่มีแดดจัด เป็นเวลา 3 ชั่วโมง 
  1. เมื่อพักแป้งไว้จนครบเวลาแล้วให้ร่อนผงฟูใส่ลงไป ใช้ไม้พายคนผสมให้เข้ากัน พักไว้แล้วไปนึ่งถ้วยตะไลด้วยน้ำเดือดจัดเป็นเวลา 10 นาที จากนั้นคนแป้งเล็กน้อยก่อนจะหยอดแป้งลงไปให้เต็มถ้วยตะไล นำเนื้อมะพร้าวขูดฝอยมาคลุกเคล้าให้เข้ากันกับเกลือแล้วโรยหน้าขนม และนึ่งด้วยไฟแรงจัดเป็นเวลา 25 นาที เสร็จแล้วยกออกจากเตาพักไว้ให้เย็น และนำไปรับประทานได้เลยค่ะ

บทสรุป

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ กับข้อมูลน่ารู้เกี่ยวกับ ขนมตาล พร้อมสูตรวิธีการทำ ขนมไทยง่าย ๆ ซึ่งเป็นสูตรที่เราคัดสรรมาแล้วเป็นอย่างดี และเชื่อว่าทุกคนสามารถนำไปทำตามได้เองที่บ้าน เนื่องจากในปัจจุบันเริ่มจะหาทานที่อร่อย ๆ ได้ยากแล้ว จึงควรค่าแก่การ อนุรักษ์ขนมไทย เอาไว้ ด้วยการลงมือทำด้วยตัวเอง และบอกต่อสูตรนี้ต่อไปให้คนรุ่นหลังได้รู้จัก

 

 

เว็บบอล

READ MOREREAD MORE
แกงไตปลา

แกงไตปลา แนะนำอาหารขึ้นชื่อรสเด็ดภาคใต้ พร้อมบอกต่อสูตรวิธีทำแกงไตปลา แนะนำอาหารขึ้นชื่อรสเด็ดภาคใต้ พร้อมบอกต่อสูตรวิธีทำ

แกงไตปลา แนะนำอาหารขึ้นชื่อรสเด็ดภาคใต้ พร้อมบอกต่อสูตรวิธีทำ
แกงไตปลา

    อาหารรสเลิศมีอยู่มากมายในประเทศไทย บางจังหวัดในประเทศก็มีอาหารขึ้นชื่ออยู่หลายเมนู ในบทความนี้เราจะพาทุกคนไปล่องใต้ ด้วยอาหารใต้รสแซ่บอย่าง “แกงไตปลา” ที่ได้หลอมรวมเอาวัตถุดิบที่หาได้ง่ายในภาคใต้ มารวมกันเป็นเมนูอาหารแสนอร่อยให้เราได้รับประทานกันในปัจจุบัน และสำหรับใครที่ยังไม่เคยรับประทานเลย หรือทานแล้วรสชาติจัดจ้านจนทานไม่ไหว เราขอแนะนำให้ลองทำอาหารใต้ทานเองที่บ้าน โดยใช้สูตรทำอาหารง่าย ๆ ที่สามารถปรับลด หรือเพิ่มวัตถุดิบอื่น ๆ ได้ด้วยตัวเองค่ะ

| แกงไตปลา รสแซ่บ อาหารยอดนิยมของคนใต้
แกงไตปลา

      แกงพุงปลา หรือ แกงไตปลา คือ อาหารขึ้นชื่อประจำท้องถิ่นของภาคใต้ โดยเป็นอาหารประเภทแกงที่ประกอบด้วยวัตถุดิบหลักคือ ไตปลา ผสมผสานกับกะปิ ซึ่งวัตถุดิบเหล่านี้ก็เป็นของขึ้นชื่อที่เมื่อมีโอกาสไปเที่ยวใต้แล้วต้องซื้อเป็นของฝากอยู่เป็นประจำ ถือเป็นการรวมเอาเอกลักษณ์ของภาคใต้มารวมกัน กลายเป็น แกงไตปลา รสชาติเผ็ดร้อน และเค็ม สามารถนำมาทานได้กับข้าวสวยร้อน ๆ หรือขนมจีนก็เข้ากันเป็นอย่างดี สำหรับ ที่มาของแกงไตปลา ยังไม่ปรากฏแน่ชัดว่ามีขึ้นเมื่อใด หรือใครเป็นผู้คิดค้น 

ไตปลา วัตถุดิบของแกงรสชาติจัดจ้าน

    เชื่อว่าหากไม่ได้เป็นคนที่อาศัยอยู่ในภาคใต้ คงไม่รู้จัก “ไตปลา” วัตถุดิบหลักของเมนู แกงไตปลากันมาก นัก เราจึงจะขอบอกความหมายของไตปลาว่า สามารถเรียกได้อีกชื่อว่าพุงปลา เป็น การถนอมอาหาร ของคนใต้ โดยใช้วิธีการหมักดอง ใช้กระเพาะของปลาต่าง ๆ เช่น ปลาทู ปลาดุก ปลาลัง ปลาช่อน ฯลฯ นำขี้ปลา และดีออกก่อนจะหมักกับเกลือไว้เป็นเวลา 10 – 20 วัน มีลักษณะเหลว และมีมันไหลออกมา รสชาติเค็ม มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว สามารถนำไปประกอบอาหารได้หลายชนิด หรือจะนำไปเป็นเครื่องจิ้มเหมือนน้ำพริกก็ได้

คุณค่าทางโภชนาการ

    อาหารไทย ล้วนเป็นอาหารที่มีประโยชน์ และมีคุณค่าทางโภชนาการ ซึ่ง แกงไตปลาโบราณ เป็นหนึ่งในนั้นที่มีทั้งโปรตีน และแคลเซียมจากปลาทู และไตปลา นอกจากนั้นยังนิยมรับประทาน แกงไตปลา พร้อมผักเครื่องเคียง จึงเพิ่มประโยชน์จากวิตามิน เกลือแร่ และใยอาหารเข้าไปด้วย แต่ขอเตือนสักนิดว่าเมนูนี้ไม่เหมาะกับผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัว หรือโรคความดันโลหิตสูง เพราะมีรสชาติที่เค็ม โซเดียมสูง หากอยากรับประทาน แกงไตปลา ที่เหมาะกับผู้สูงอายุจึงควรทำทานเอง ลดการปรุงรสเค็ม และทานในปริมาณที่เหมาะสม

| แกงไตปลาพัทลุง ของดีเมืองใต้
แกงไตปลา

    แกงไตปลา ได้รับความนิยมมาก จึงมีหลากหลายสูตรที่รังสรรค์ให้มีความอร่อยแตกต่างกัน ยกตัวอย่าง แกงไตปลากะทิ ที่มีการใส่กะทิลงไปเป็นส่วนผสมเพิ่มความอร่อยกลมกล่อม สำหรับแกงสูตรพัทลุง จะแตกต่างจากแกงของภาคอื่น ๆ เพราะเป็น แกงไตปลาแห้ง ที่รสชาติดี เข้าถึงเครื่องแกงมากกว่าสูตรทั่ว ๆ ไป และมีการใส่เนื้อปลาซาบะ และเม็ดมะม่วงหิมพานต์ลงไปผสมกับวัตถุดิบอื่น ๆ ก่อนจะนำลงไปผัดให้หอมจนแห้งดี ในปัจจุบันกลาย แกงไตปลา เป็นของขึ้นชื่อ ของดีเมืองพัทลุง

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำแกงไตปลาปักษ์ใต้

     มาถึงสิ่งสำคัญที่หลาย ๆ คนรอคอยกันแล้วนั้นก็คือ สูตรทำ แกงไตปลา แบบง่าย ๆ สำหรับคนที่อยากทำทานด้วยตัวเอง เป็น แกงไตปลาสูตรดั้งเดิม และที่สำคัญยังมี สูตรพริกแกงไตปลา มาแนะนำให้ได้ทำด้วย ซึ่งการทำพริกแกงด้วยตัวเองจะได้พริกแกงที่สดใหม่ กลิ่นหอม และอร่อยกว่าพริกแกงทั่วไป หากอยากลองทำแล้วไปเตรียมวัตถุดิบให้พร้อมก่อนการลงมือทำกันค่ะ

วัตถุดิบทำพริกแกง
    1. พริกแห้ง แช่น้ำให้นิ่ม 15 กรัม
    2. พริกแดงจินดา 30 กรัม
    3. ตะไคร้ซอย 3 ต้น
    4. ผิวมะกรูด 1 ลูก
    5. กระเทียม 30 กรัม
    6. พริกไทยดำ 1 ช้อนตวง
    7. ขมิ้น 25 กรัม
    8. หอมแดง 30 กรัม
วัตถุดิบต้มน้ำไตปลา
  1. น้ำเปล่า 500 กรัม
  2. ไตปลาทู 1 ขวด
  3. กะปิปลา 70 กรัม
  4. ตะไคร้บุบ 2 ต้น 
  5. ข่าแก่หั่นแว่น 5 แว่น
  6. ใบมะกรูดฉีก 5-6 ใบ
แกงไตปลา
วัตถุดิบทำแกงไตปลา
  1. น้ำไตปลาเดิมที่ต้มทั้งหมด
  2. น้ำเปล่า 1500 ml.
  3. พริกแกงที่ตำได้ทั้งหมด
  4. ฟักทองหั่นชิ้น 300 กรัม
  5. มะเขือเปราะหั่นชิ้น 400 กรัม
  6. หน่อไม้ต้มสุกหั่นชิ้น 300 กรัม
  7. ถั่วฝักยาวหั่นชิ้น 100 กรัม
  8. น้ำตาลปี๊บ 1+1/2 ช้อนตวง
  9. น้ำมะขามเปียกเข้มข้น 2 ช้อนตวง
  10. เนื้อปลาทูตัวใหญ่ 2 ตัว 
  11. ใบมะกรูดฉีก ปริมาณตามชอบ
  12. ผงชูรส 1 ช้อนชา
ขั้นตอนวิธีการทำ
  1. ขั้นตอนแรกทำเครื่องแกง โดยเริ่มจากการพริกแห้ง และพริกสดไปตำให้ละเอียด ตามด้วยกระเทียม พริกไทยดำ ผิวมะกรูด และตะไคร้ ตำให้ละเอียดดี สุดท้ายใส่ขมิ้นลงไปตำอีกครั้ง
  2. นำปลาทูไปย่างด้วยเตาถ่านให้สุกเหลืองเท่ากันทั้งสองด้าน ใช้มีดปาดเอาเฉพาะเนื้อปลา และแกะเป็นพอดีคำ
  3. ต่อมาเป็นขั้นตอนการทำน้ำไตปลา ใส่น้ำเปล่า ใบมะกรูดฉีก ตะไคร้ และข่า รอให้น้ำเดือดแล้วใส่กะปิปลา และไตปลาลงไปต้มต่อเป็นเวลา 10 นาที โดยไม่ต้องคน (หากคนจะทำให้คาว) เมื่อครบเวลาแล้วให้ปิดเตาแล้วนำไปกรองน้ำใส่กระทะ เติมน้ำเปล่าอีก 1000 มิลลิลิตร 
  4. เมื่อน้ำเดือดแล้วให้ใส่พริกแกงที่เตรียมไว้ลงไป คนให้ละลาย ตามด้วยฟักทองลงไปต้มให้เริ่มสุก ตามด้วยมะเขือเปราะ หากสุกแล้วใส่หน่อไม้ และถั่วฝักยาวลงไปต้มต่อ คนเล็กน้อยให้เข้ากัน
  5. รอให้น้ำเดือดแล้วใส่ปรุงรสด้วยน้ำมะขามเปียก น้ำตาลปี๊บ และผงชูรสลงไปตัดรสเค็ม 
  6. เมื่อส่วนผสมทั้งหมดสุกดีแล้วให้ใส่เนื้อปลาที่เตรียมไว้ และใบมะกรูดลงไป รอให้เดือดอีกครั้งแล้วปิดเตา จัดเสิร์ฟได้เลยค่ะ
บทสรุป

      หลังจากจบบทความนี้ เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงได้รู้จักกับเมนู แกงไตปลา กันมากขึ้น และสามารถทำ อาหารขึ้นชื่อภาคใต้ เมนูนี้ได้ด้วยตัวเอง แน่นอนว่ารสชาติที่ได้มาคุ้มค่ากับเวลาในการทำ รับรองว่ารสชาติที่เรารังสรรค์ตามความชอบของตัวเอง ต้องอร่อยกว่ารสชาติที่ปรุงตามใจแม่ค้า อาหารใต้ รู้อย่างนี้แล้วอย่าลืมนำสูตร แกงไตปลา ไปทำตามกันให้ได้นะคะ สำหรับตอนนี้ต้องลาไปก่อน แล้วมาศึกษาวิธีการทำอาหารกันใหม่ในบทความหน้านะคะ

ประวัติความเป็นมา

READ MOREREAD MORE