อยู่ไทยก็ทำ ลอดช่องสิงคโปร์ ได้ ทำอย่างไรมาดูกัน
ลอดช่องสิงคโปร์

สำหรับเมนูขนมอย่าง ลอดช่องสิงคโปร์ น่าจะเป็นชื่อที่คุ้นหูหลายคนดี วันนี้เราจะพาคุณมาตามล่าวัตถุดิบ แล้วแกะสูตรทำออกมาให้อร่อยแสนหวาน รับรองว่าใครได้ชิมก็ต้องติดใจเมนูนี้กันทุกคนอย่างแน่นอน ถ้าพร้อมและอยากเริ่มเข้าครัวแล้วเรามาเริ่มทำเมนูนี้ไปพร้อมกันเลยดีกว่า ข้อดีของการทำเองคือกำหนดความหวาน เติมปริมาณขนมได้เต็มที่ ใครอยากได้แบบนี้บอกเลยว่าห้ามพลาด แล้วรีบมาทำกัน

ประวัติของเมนู ลอดช่องสิงคโปร์

ลอดช่อง สิงคโปร์ เป็นเมนูขนมหวานที่มีต้นกำเนิดมาจากสิงคโปร์ เมนูลอดช่องสิงคโปร์รวมมิตรได้รับความนิยมมากในชุมชนชาวสิงคโปร์ตั้งแต่ยุค 1950 โดยในตอนแรกนั้นของหวานชนิดนี้เป็นอาหารพื้นเมืองของชาวจีนที่อาศัยอยู่ในสิงคโปร์ แต่เมื่อเวลาผ่านไปสูตร ลอดช่องสิงคโปร์กลับกลายเป็นของหวานที่เป็นที่รู้จักกันมากที่สุดของชาวสิงคโปร์

ลอดช่องสิงคโปร์

ลอดช่องไทย กับ ลอดช่องสิงคโปร์ ต่างกันอย่างไร คำตอบคือของไทยใช้แป้งข้าวเจ้า ส่วนถ้าถามว่าแป้งสดลอดช่องสิงคโปร์ใช้แป้งอะไร ทางสิงคโปร์จะใช้เป็นแป้งมันสำปะหลังแทน และวิธีการทำก็แตกต่างกันอีกด้วย ดังนั้นจึงเป็นเพียงชื่อคล้าย แต่มาพร้อมเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน

วัตถุดิบที่ใช้ในการทำลอดช่องสิงคโปร์

เราลองมาดูกันดีกว่าว่าถ้าอยากทำ ลอดช่องสิงคโปร์ นั้นจะต้องเตรียมวัตถุดิบอะไรให้พร้อมสำหรับเมนูยอดนิยมอย่างลอดช่องสิงคโปร์กันบ้าง

ลอดช่องสิงคโปร์
  • วัตถุดิบสำหรับทำตัวลอดช่อง

– แป้งมัน 1 ถ้วย

– แป้งข้าวเจ้า 5 ช้อนโต๊ะ

– น้ำใบเตยคั้น 2/3 ถ้วย

  • วัตถุดิบสำหรับจัดเสิร์ฟ

– ตัวลอดช่องสิงคโปร์ที่ทำไว้

– ขนุนสุกหั่นเป็นชิ้นยาว

– น้ำเชื่อม 1 ถ้วย ทำจากน้ำตาลทรายขาว 2 ถ้วย ผสมกับ น้ำลอยดอกมะลิ 1 ถ้วย

– กะทิสด 1 ถ้วย

– น้ำแข็งบดละเอียด

วิธีทำลอดช่องสิงคโปร์

หลังจากที่อุปกรณ์ในการทำลอดช่องสิงคโปร์ พร้อมเรียบร้อยแล้ว เรามาเริ่มลงมือทำลอดช่องสิงคโปร์โบราณไปพร้อมกันดีกว่า บอกเลยว่าสูตรนี้เอาไว้ทานกันตอนอากาศร้อน ๆ ช่วยเพิ่มความสดชื่นได้เป็นอย่างดี แต่จริง ๆ แล้วไม่ว่าจะเลือกทานตอนไหนเมนูนี้ก็สามารถมอบความสุขให้กับคุณได้เสมอ

ลอดช่องสิงคโปร์
  1. เริ่มทำตัวแป้งตามสูตร ลอดช่องสิงคโปร์กันก่อน โดยการอุ่นใบเตยในไมโครเวฟให้เดือดจัด เพื่อที่จะสามารถนำแป้งเทลงไปผสมได้
  2. เมื่อใบเตยได้ที่ให้นำแป้งข้าวเจ้าและแป้งมันเทลงในชามผสม จากนั้นเทน้ำใบเตยที่ร้อนจัด ๆ ลงไปในแป้งอย่างรวดเร็ว เพราะอุณหภูมิที่ร้อนจัดเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยเพิ่มความละเอียดให้กับแป้งได้ โดยควรเทให้หมดในทีเดียว 
  3. รอให้แป้งอุ่นแล้วใช้มือนวดแป้งให้เข้ากันจนเป็นก้อนเดียว จากนั้นคลุมเอาไว้ด้วยแร็ปเพื่อที่จะสามารถนำไปรีดและตัดเป็นเส้นได้ ก่อนที่จะนวดอย่าลืมทาแป้งที่มือเพื่อป้องกันไม่ให้มีแป้งติดมือมากจนเกินไป
  4. เริ่มการรีดและนวดแป้งจากการนำลอดช่องมารีดให้เป็นแผ่นที่หนาประมาณครึ่งเซนติเมตร แล้วนำไปตัดให้เป็นเส้นขนาดความยาวประมาณ 3 นิ้ว สามารถทาแป้งมันที่พื้นที่ใช้รีดลอดช่องได้ เพื่อป้องกันไม่ให้แป้งติด
  5. ต้มน้ำให้เดือดจัดจากนั้นใส่เส้นลอดช่องลงไปในหม้อ ต้มจนแป้งสุกและลอยตัวขึ้นมา จากนั้นทำการตักแป้งไปแช่เอาไว้ในน้ำเย็น วิธีการนี้จะช่วยเพิ่มความเหนียวนุ่มให้กับเส้นได้มากขึ้น
  6. มาถึงขั้นตอนของการจัดเสิร์ฟกันแล้ว คุณสามารถตัดลอดช่องลงในแก้ว ตามด้วยการวางขนุน น้ำแข็ง ราดด้วยน้ำเชื่อมและกะทิ เพียงเท่านี้ก็เป็นอันเสร็จครบองค์ประกอบลอดช่องอินเตอร์กันแล้ว

เมนูลอดช่องสิงคโปร์ สามารถเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการได้ย่างไรบ้าง

แม้ว่า ลอดช่อง สิงคโปร์ จะเป็นเมนูขนมหวาน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะส่งผลเสียกับร่างกายไปเสียทั้งหมด อย่างน้อยก็ทำให้อารมณ์ดีเมื่อได้ทาน และคุณยังสามารถเพิ่มเติมประโยชน์จากการทำเมนูนี้ด้วยตัวเองกันได้ง่าย ๆ อีกด้วย ซึ่งสามารถทำได้โดยการใช้ดอกอัญชันเพิ่มเข้าไปในขั้นตอนของการผสมแป้งลอดช่อง แล้วประโยชน์จากสมุนไพรไทยตัวนี้มีอะไรบ้างมาดูกัน

ลอดช่องสิงคโปร์
  • มีส่วนช่วยบำรุงสายตา และป้องกันอาการตาฝ้าฟาง ลดอาการตาแฉะ และสามารถช่วยป้องกันโรคต้อกระจกได้อีกด้วย
  • ช่วยลดน้ำตาลในเลือด เหมาะกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน และเมื่อมาใส่ในขนมหวานจึงเป็นเรื่องที่ดี
  • มีส่วนช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับระบบภายในร่างกาย
  • มีส่วนช่วยในการขับปัสสาวะ และยังมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อน ๆ ได้อีกด้วย
  • ภายในอัญชันมีสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีส่วนช่วยต่อต้านโรคมะเร็งได้ดี
  • การชะลอริ้วรอย ดูแลผิวพรรณให้มีความกระชับอัญชันสามารถช่วยได้
  • ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคไขมันอุดตันเส้นเลือด
  • ช่วยให้ระบบโลหิตไหลเวียนได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลให้ร่างกายในส่วนอื่น ๆ มีความแข็งแรงเพิ่มขึ้นตาม
ลอดช่องสิงคโปร์

การเลือกทานของหวานไม่ว่าจะเป็นลอดช่องสิงคโปร์หรือเมนูอื่น ๆ อย่างพอดีบอกเลยว่าไม่ส่งผลเสียกับสุขภาพอย่างแน่นอน แต่กลับเป็นการช่วยเพิ่มความสุขในการทานให้กับคุณได้ ซึ่งถ้าคุณยึดหลักของความพอดีและเหมาะสมเสมอไม่ว่าจะทานอะไรก็จะส่งผลดีกับคุณอย่างแน่นอน เพราะทุกอย่างมีประโยชน์ซ่อนเอาไว้เสมอ ดังนั้นได้สูตรนี้ไปปรับความหวานให้พอเหมาะ พร้อมทั้งทานในปริมาณที่เน้นความอร่อย เพียงเท่านี้เมนูนี้ก็พร้อมจะมอบความสุขให้กับคุณกันแล้ว

อ่านบทความอื่นๆ: